สหรัฐฯ เตือน “ความเสี่ยงร้ายแรง” สำหรับพลเมืองที่เดินทางจะไป “เกาหลีเหนือ” หลังโสมแดงขู่ใช้กฎหมายสงคราม

เอเอฟพี - กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศเตือนความเสี่ยงร้ายแรงสำหรับพลเมืองที่จะเดินทางไปยังเกาหลีเหนือ เมื่อวานนี้ (11 ส.ค.) หลังจากรัฐบาลเปียงยางออกมาขู่จะปฏิบัติต่อชาวอเมริกันที่ถูกจับโดยยึด “กฎหมายสงคราม” (wartime laws)

วอชิงตันได้เตือนมาโดยตลอดให้พลเมืองรับรู้ถึงความเสี่ยงในการเดินทางไปเกาหลีเหนือ แต่ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเป็นพิเศษ หลังจากที่มีชาวอเมริกันถูกโสมแดงจับกุมแล้วหลายราย หนึ่งในนั้นคือ อ็อตโต วอร์มเบียร์ นักศึกษาชาวอเมริกัน ซึ่งเมื่อเดือน มี.ค. ถูกศาลเกาหลีเหนือตัดสินใช้แรงงานหนักเป็นเวลา 15 ปี ในความผิดฐานขโมยโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อออกไปจากโรงแรมแห่งหนึ่ง

คำเตือนล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เตือนให้ชาวอเมริกันตระหนักถึง “ความเสี่ยงร้ายแรง” ที่จะถูกกักขังเป็นระยะเวลานาน ตลอดจน “โทษทัณฑ์ที่รุนแรงเกินเหตุ” สำหรับการกระทำที่อาจไม่ถือเป็นความผิดในประเทศอื่นๆ

เปียงยางประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่า กิจการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ รวมถึงชาวอเมริกันที่ถูกจับ จะถูกดำเนินการตามหลักกฎหมายในห้วงเวลาสงคราม เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำผู้นำ คิม จอง อึน ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชน

ผู้เชี่ยวชาญตีความว่า หลังจากนี้โสมแดงอาจไม่ยอมปล่อยตัวชาวต่างชาติที่ถูกจับด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรมอีกต่อไป

เปียงยางมักจะใช้กลยุทธ์จับกุมพลเมืองเพื่อบีบให้สหรัฐฯ ต้องส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาเจรจาขอปล่อยตัว เช่น อดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ และ บิล คลินตัน เป็นต้น

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เตือนด้วยว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปกับกรุ๊ปทัวร์ก็ไม่ได้แปลว่าจะรอดจากการถูกจับ และ “ไม่ควรคาดหวังว่าจะได้รับความเป็นส่วนตัว”

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีชาวอเมริกันถูกจับกุมในเกาหลีเหนืออย่างน้อย 14 คน ล่าสุดที่ยังคงถูกคุมขัง ได้แก่ วอร์มเบียร์ และ คิม ดอง-ชุล ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี ซึ่งถูกศาลโสมแดงตัดสินจำคุก 10 ปีฐานจารกรรม และบ่อนทำลายรัฐ

ชาวต่างชาติที่ถูกจับจะโดนบังคับให้อ่านคำรับสารภาพที่ทางการโสมแดงร่างมาให้ ซึ่งเมื่อเดือน ก.พ. วอร์มเบียร์ก็ถูกพาตัวออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวในลักษณะนี้ โดยเขาได้ร้องห่มร้องไห้ และยอมรับว่า “ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต”

สหรัฐฯ ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือ ส่วนสถานทูตสวีเดนในกรุงเปียงยางซึ่งทำหน้าที่ผู้แทนรักษาผลประโยชน์ของชาวอเมริกันก็ให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลได้อย่างจำกัด