เอเอฟพี - ฮิลลารี คลินตัน วิพากษ์วิจารณ์ โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างรุนแรงเมื่อวานนี้ (31 ก.ค.) จากการที่เขา “อุทิศตัวอย่างเต็มที่” ให้แก่เป้าหมายด้านนโยบายของรัสเซีย โดยระบุว่ามันก่อให้เกิดทั้ง “ความกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ” และความคลางแคลงใจอีกครั้งเกี่ยวกับภาวะอารมณ์ของเรา
ทรัมป์ คู่แข่งชิงตำแหน่งประมุขทำเนียบขาวจากพรรครีพับลิกันตอบสนองอย่างก้าวร้าวว่า เขาไม่มีความสัมพันธ์กับผู้นำรัสเซีย วลาดิมีดีร์ ปูติน และไม่เคยพบหรือคุยกับเขาทางโทรศัพท์ แต่ว่า “หากประเทศของเราลงรอยกับรัสเซีย นั่นจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่”
เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เอบีซีว่า เขาจะไม่ปฏิเสธหากปูตินยกย่องเขาเป็น “อัจฉริยะ” คำซึ่งในความหมายของชาวรัสเซียหมายถึง “มีเสน่ห์” มากกว่า
แต่เขาโหมกระพือประเด็นนี้ด้วยการกล่าวเสริมว่า ในฐานะประธานาธิบดีอย่างน้อยที่สุดเขาจะพิจารณาเรื่องการยอมรับอำนาจอธิปไตยของรัสเซียเหนือไครเมีย ดินแดนของยูเครนที่ถูกรัสเซียควบรวมในปี 2014 ท่ามกลางเสียงประณามจากนานาชาติ
“ประชาชนในไครเมีย จากที่ผมได้ยินมา ชอบที่จะอยู่กับรัสเซียมากกว่า” ทรัมป์กล่าว
ดินแดนแห่งนี้เป็นหัวข้อของการถกเถียงกันอย่างน่าปวดหัวระหว่างทรัมป์ และ จอร์จ สเตฟาโนพูโลส พิธีการรายการ “This Week” ของสถานีโทรทัศน์เอบีซี
“ปูตินไม่ได้กำลังจะเข้าไปในยูเครน โอเค ขอแค่คุณเข้าใจ” ทรัมป์กล่าว “เขาไม่ได้กำลังจะเข้าไปในยูเครน โอเคไหม คุณจดไว้ได้เลยนะ จดไว้เลย”
สเตฟาโนพูโลสถามกลับว่า “เขาอยู่ที่นั่นแล้วไม่ใช่หรือ”
ทรัมป์ตอบกลับว่า “โอเค เขาอยู่ที่นั่นในทางใดทางหนึ่ง แต่ผมไม่ได้อยู่ที่นั่น”
ที่ปรึกษาอาวุโสด้านนโยบายของคลินตัน เจค ซุลลิแวน เรียกถ้อยแถลงของทรัมป์ว่าเป็น “ธาตุแท้ที่น่าตกใจ”
“เขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ เขารู้อะไรอย่างอื่นบ้าง” ซุลลิแวนกล่าวในถ้อยแถลง “ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจความจริงพื้นฐานเกี่ยวกับโลก แต่เขากลับเข้าใจประเด็นที่ปูตินใช้พูดเกี่ยวกับไครเมียอย่างถ่องแท้”
ทรัมป์กล่าวว่า เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่พรรครีพับลิกันปรับภาษาในนโยบายของพรรคของให้อ่อนลงเพื่อยกเลิกการเรียกร้องให้จัดหาอาวุธร้ายแรงให้แก่ยูเครน
การถกเถียงเรื่องรัสเซียเป็นส่วนหนึ่งของความไม่ลงรอยกันอีกหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในต่างแดน ในขณะที่ทรัมป์ให้เหตุผลว่า อเมริกาที่อ่อนแอลงต้องประหยัดและต้องการความช่วยเหลือจากพันธมิตรมากขึ้น ด้านคลินตันยืนยันว่า ข้อผูกมัดระหว่างสหรัฐฯ กับหุ้นส่วนต่างชาติที่มีมานานหลายสิบปีต้องได้รับการรักษาเอาไว้