เอเจนซีส์/MGR ออนไลน์ - หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่อชั้นนำของอังกฤษ เป็นหนังสือพิมพ์ที่เผยแพร่ข้อมูลลับปริซึมโครงการล้วงความลับหน่วยงาน NSA ที่จอมแฉ “เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน” เป็นผู้มอบให้เป็นเจ้าแรกในปี 2013 ยอมรับว่ามีผลประกอบการขาดทุนถึง 69 ล้านปอนด์ในปีงบดุลบัญชีที่ผ่านมา แต่ยังอ้างว่าทางสื่อประสบความสำเร็จสามารถทำให้มีจำนวนผู้อ่านบอกรับเป็นสมาชิกเพิ่มไม่ต่ำกว่า 50,000 คนแล้ว
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษรายงานวันนี้ (27 ก.ค.) โดยยืนยันว่าการรายงานก่อนหน้านี้ถึงตัวเลขขาดทุนประจำปีว่าอยู่ที่ 69 ล้านปอนด์นั้นเป็นความจริง แต่อย่างไรก็ตาม ทางเดอะการ์เดียนชี้แจงว่าทางบริษัทได้ใช้กลยุทธ์หาสมาชิกบอกรับและบริจาคเพื่อเพิ่มยอดรายได้ และพบว่าทางบริษัทฯ ประสบความสำเร็จสามารถมีสมาชิกได้ไม่ต่ำกว่า 50,000 คนท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือดในอังกฤษของตลาดสื่อสิ่งพิมพ์ที่อยู่ในรูปกระดาษหนังสือพิมพ์ และดิจิตอลที่ทุกค่ายต้องแข่งขันกันหาโฆษณาเพื่อหล่อเลี้ยงบริษัทให้อยู่รอด
ทั้งนี้ พบว่าหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนได้ขึ้นคำโฆษณาการบอกรับสมาชิกและการบริจาคสนับสนุนในอัตรา 49 ปอนด์/ปี สำหรับในอังกฤษ และ 49 ดอลลาร์/ปี สำหรับสมาชิกจากสหรัฐฯ และทั่วโลก โดยผู้ที่ต้องการรับบอกรับ สามารถสมัครเพื่อเป็นของขวัญให้กับผู้อื่นได้เช่นกัน โดยทางหน้าสื่อบอกรับสมาชิกได้ให้เหตุผลว่า ***เป็นการสนับสนุนเสรีภาพความเป็นสื่ออิสระของเดอะการ์เดียนให้ยังคงสามารถทำตามหน้าที่ได้ต่อไป***
อย่างไรก็ตาม พบว่ากลยุทธ์บอกรับสมาชิกเป็นส่วนสำคัญของแผนการกอบกู้วิกฤตฐานะทางการเงินของสื่อเดอะการ์เดียน ที่ออกมาโดยบริษัทแม่ การ์เดียน มีเดีย กรุ๊ป (Guardian Media Group) ที่พบว่ารายได้จากทั้งสื่อตีพิมพ์และสื่อดิจิตอลนั้นลดลง และเกิดตัวเลขขาดทุนถึง 8 ล้านปอนด์ในอัตราการหมุนเวียนของรายได้รวม (total turnover) อยู่ที่ 209.5 ล้านปอนด์
นอกจากนี้ สื่ออังกฤษยังชี้แจงต่อว่า ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมสื่อทั้งหมดของอังกฤษประสบปัญหาอย่างหนักต่อการลดจำนวนโฆษณาบนหน้าสื่อตีพิมพ์ในช่วงหลายปีติดต่อกันที่ผ่านมา ในขณะที่โฆษณาบนแพลตฟอร์มดิจิตอลมีเดียทั้งหลายกลับไปอยู่ในกำมือของกูเกิล และเฟซบุ๊กเกือบทั้งหมด
โดยพบว่าปีต่อปี โฆษณาบนสื่อตีพิมพ์ลดลงถึง 15% และจะยังคงลดลงไปอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมสื่อตีพิมพ์อังกฤษทั้งหมด
และนอกจากการที่รายได้ลดลงแล้ว ยังส่งผลไปถึงตัวเลขการขาดทุนก่อนภาษี (pre-tax loss)ของเดอะการ์เดียนอยู่ที่ 68.7 ล้านปอนด์ เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลข 14.7 ในปีก่อนหน้านั้น และเมื่อคิดบนพื้นฐานของ Underlying basis แล้ว พบว่ามีตัวเลขการขาดทุนสูงถึง 62.6 ล้านปอนด์ สูงมากกว่าเดิมในอดีตที่ 38.8 ล้านปอนด์ เดอะการ์เดียนชี้
นอกจากนี้ หากจะพิจารณาไปถึงปัจจัยการลดมูลค่าทางบัญชีของทรัพย์สิน พบว่ามีตัวเลขการขาดทุนรวมของการ์เดียน มีเดีย กรุ๊ปอยู่ที่ 173 ล้านปอนด์
ด้านซีอีโอใหญ่ของกลุ่มการ์เดียน มีเดีย กรุ๊ป เดวิด เพมเซล (David Pemsel) และบรรณาธิการบริหาร แคเทอรีน ไวเนอร์ (Katharine Viner) ได้เสนอแผนการลดรายจ่ายด้วยการตัดลดต้นทุนลง 20% ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า และรวมไปถึงช่องทางจัดหาแหล่งรายได้ใหม่เพื่อแก้ปัญหารายได้จากโฆษณาบนสื่อตีพิมพ์ที่ลดลงและความไม่แน่นอนของตลาดโฆษณาในตลาดสื่อดิจิตอล
ที่ผ่านมาล่าสุดพบว่า ทางหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนได้ปรับลดขนาดองค์กรลง โดยได้ให้พนักงานที่มีตำแหน่งงานรับผิดชอบที่ซ้ำซ้อนสมัครใจลาออกในจำนวนที่ไม่ต่ำกว่า 260 ตำแหน่งเพื่อทำให้บริษัทสามารถกลับมามีตัวเลขทางบัญชีแบบปกติอีกครั้ง และทำให้ทางบริษัทสามารถประหยัดเงินไปได้ถึง 17 ล้านปอนด์ต่อปี แต่กระนั้นเพมเซลยังยืนยันว่า ทางฝ่ายบริหารจะยังคงเฝ้าติดตามโดยวัดจากแต่ละในไตรมาสที่จะออกมา
เดอะการ์เดียนรายงานต่อว่า ในขณะเดียวกันตัวเลขรายได้สื่อดิจิตอลของทางบริษัทตกลงมา 81.9 ล้านปอนด์ ต่ำเกือบ 2 ล้านปอนด์จากในปีก่อนหน้านั้น โดยหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนได้ให้เหตุผลว่า เนื่องมาจากการถูกกินรวบโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ไอที กูเกิล และ เฟซบุ๊ก ที่ได้แย่งเม็ดเงินโฆษณาบนโลกดิจิตอลไปเกือบหมด
ประธานบริหารของกลุ่มการ์เดียน มีเดีย กรุ๊ปให้ความเห็นอีกว่า มีความเชื่อว่ารายได้โฆษณาบนสื่อดิจิตอลของเดอะการ์เดียนจะเห็นการพัฒนาขึ้นภายในปีงบดุลนี้ เนื่องมาจากเดอะการ์เดียนได้ถอยห่างจากการขายโฆษณาที่อิงอยู่บนฐานข้อมูลลูกค้าเป็นหลัก มาเป็นการใช้หลักอ้างอิงจากข้อมูลลักษณะการใช้งานของผู้อ่านแทน โดยพบว่า เมื่อไม่นานมานี้ทางเดอะการ์เดียนได้มีการตั้งแผนก “เดอะการร์เดียนแล็บ” ขึ้นเพื่อจุดมุ่งหมายในการสร้างคอนเทนต์และแบรนด์สำหรับกลุ่มแอดเวอร์ไทเซอร์ทั้งหลาย
และในการรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน ยังได้ชี้แจงต่อว่า สำหรับในส่วนรายได้และการลงทุนนั้นพบว่า มีตัวเลขอยู่ที่ 765 ล้านปอนด์ ต่ำกว่าในปีที่ผ่านมาที่ 838.3 ล้านปอนด์ และมูลค่าทรัพย์สินในเดือนเมษายนล่าสุดมีราว 206 ล้านปอนด์ตกลงมาเนื่องมาจากการหดตัวทางมูลค่าทรัพย์สิน