รอยเตอร์ - ตำรวจจับกุมตัวบุคคลรายหนึ่งในความต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีโบสถ์คาทอลิก ทางภาคเหนือของฝรั่งเศส แหล่งข่าวใกล้ชิดกับการสืบสวนเผยในวันอังคาร (26 ก.ค.) ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์เผยนาทีสยอง 2 คนร้ายบังคับบาทหลวงคุกเข่าก่อนลงมือสังหารและบันทึกภาพการฆาตกรรมไว้ด้วย
2 มือจู่โจมที่เชื่อมโยงกับพวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) ฆ่าปาดคอบาทหลวงผู้เฒ่าวัย 84 และจับคนอื่นๆ อีก 4 คนเป็นตัวประกันที่โบสถ์ในเมืองแซง-เอเตียง-ดู-รูเวรย์ ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองรูออง ในแคว้นนอร์มังดี ก่อนถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรม นับเป็นเหตุร้ายล่าสุดของการโจมตีต่อเนื่องเป็นระลอกซึ่งเกิดขึ้นในแดนน้ำหอมและยุโรป จากฝีมือของพวกที่เกี่ยวข้องกับนักรบญิฮัดกลุ่มนี้ ที่มีฐานอยู่ในอิรักและซีเรีย
ตำรวจเผยว่า 2 มือมีดเข้าไปยังโบสถ์ดังกล่าวระหว่างการประกอบพิธีในตอนเช้า ก่อนลงมือสังหารบาทหลวง จากส์ อาแมล อายุ 85 ปี และจับคนอื่นๆ เป็นตัวประกัน 4 ราย โดยหนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยิงมือปืนเสียชีวิตระหว่างที่พวกเขาปรากฏตัวออกจากโบสถ์พร้อมกับตัวประกัน
ประธานาธิบดี ฟรังซัวส์ ออลลองด์ ให้สัมภาษณ์ระหว่างลงพื้นที่เกิดเหตุ ว่าพวกไอเอสประกาศสงครามกับฝรั่งเศส และรัฐจะใช้ทุกวิถีทางตามกรอบของกฎหมายในการต่อสู้กับนักรบกลุ่มนี้ที่ต่อต้านปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรียและอิรักของฝรั่งเศส
ผู้นำรายนี้เรียกเหตุการณ์นี้ว่าการโจมตีก่อการร้ายที่น่าสะพรึงกลัว และบอกกับผู้สื่อข่าวว่ามือโจมตีประกาศสวามิภักดิ์ต่อพวกไอเอส สอดคล้องกับคำกล่าวอ้างของสำนักข่าวอามัก สื่อมวลชนของไอเอสที่ระบุว่าทหารของกลุ่ม 2 คนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว
เหตุระทึกจับตัวประกันคราวนี้เกิดขึ้นขณะที่ฝรั่งเศสยังไม่ทันหายจากความหวาดหวั่นภายหลังเกิดเหตุสังหารหมู่ด้วยการขับรถบรรทุกพุ่งชนคนในเมืองนีซ ทางแถบชายฝั่งรีเวียราทางภาคใต้ของประเทศเมื่อไม่ถึง 2 สัปดาห์ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไป 84 ราย และกลุ่มไอเอสก็ออกมาอ้างความรับผิดชอบเช่นเดียวกัน และยังมีเกิดขึ้นตามหลังเหตุความรุนแรง 4 ครั้งในเยอรมนี
ฝรั่งเศสนั้นตกเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดเป้าหมายหนึ่งของพวกไอเอส ซึ่งแถลงเรียกร้องอยู่เป็นประจำให้พวกผู้สนับสนุนก่อการโจมตีเล่นงานด้วยอาวุธใดๆ ที่พอจะหยิบหาได้ต่อประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรนานาชาติที่เข้าโจมตีถล่มทางอากาศใส่ที่มั่นของนักรบญิฮัดกลุ่มนี้ในอิรัก และซีเรีย
สำนักงานอัยการเผยว่า ยังอยู่ระหว่างการระบุเอกลักษณ์บุคคลของผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 และยังเร็วเกินไปที่จะสรุปถึงความเชื่อมโยงใดๆ ขณะที่ตำรวจเผยว่าได้จับกุมตัวบุคคลรายหนึ่งซึ่งต้องสงสัยมีความเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีนี้
ฟรังซัวส์ โมลินส์ อัยการฝรั่งเศสเผยในวันอังคาร (26 ก.ค.) ว่าหนึ่งในญิฮัดที่โจมตีโบสถ์และฆ่าปาดคอบาทหลวง คือนายอเดล เกอร์มิเช วัย 19 ปี โดยเขาเป็นที่รู้จักของกองกำลังด้านความมั่นคงดี เนื่องจากเคยถูกจับ 2 ครั้งขณะกำลังเดินทางไปซีเรีย และถูกกักบริเวณและสวมกำไลอิเล็กทรอนิกส์คุมความประพฤติตอนที่ลงมือโจมตี ส่วนอีกคนเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบตัวตนอยู่
หลังจากพยายามไปซีเรียครั้งสุดท้ายในเดือนพฤษภาคม 2015 นายเกอร์มิเชถูกกักบริเวณจนถึงเดือนมีนาคม ก่อนพ้นโทษหลังคำอุทธรณ์ของอัยการปารีสถูกปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม เขาถูกบังคับให้สวมกำไลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อตำรวจสามารถแกะรอยที่อยู่ของเขาและได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน
โมลินส์เผยว่า นายเกอร์มิเชและผู้สมคบคิดที่ยังไม่ทราบชื่อ ใช้มีดเป็นอาวุธและจู่โจมเข้าไปในโบสถ์ พร้อมจับกุมบาทหลวงรายหนึ่ง แม่ชี 3 คน และนักแสวงบุญอีก 2 คนเป็นตัวประกัน
แม่ชีรายหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในตัวประกันและสามารถหลบหนีออกจากจุดเกิดเหตุ ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุฝรั่งเศส เล่าว่า มือโจมตี 2 คนบังคับใช้บาทหลวงวัยชราคุกเข่าลงก่อนสังหารโหดและยังถ่ายภาพวินาทีฆาตกรรมเอาไว้ด้วย “พวกเขาบังคับให้ท่านคุกเข่า ท่านพยายามปกป้องตนเอง” แม่ชีเผย พร้อมบอกว่าเธอหลบหนีออกมาในตอนที่หนึ่งในมือโจมตีลงมือสังหารบาทหลวง
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขคริสตจักรคาทอลิก ได้แสดง “ความเจ็บปวดและความสยดสยอง” ของพระองค์ จาก “การสังหารอย่างป่าเถื่อน” ต่อบาทหลวง
ส่วนสหรัฐฯ ประณามเหตุโจมตีที่โบสถ์ในฝรั่งเศส โดยเนด ไพรซ์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติอเมริกา ระบุในถ้อยแถลงว่า “สหรัฐฯ ขอประณามด้วยถ้อยคำที่รุนแรงที่สุดต่อเหตุโจตีก่อการร้ายอันน่าขยะแขยงในวันนี้ที่โบสถ์คาทอลิกในนอร์มังดี ฝรั่งเศส”
เหตุโจมตีถาโถมแรงกดดันเพิ่มเติมแก่นายออลลองด์ ให้กอบกู้ควบคุมสถานการณ์ความปลอดภัยของประเทศ ขณะที่ฝรั่งเศสยังอยู่ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 10 เดือนก่อนถึงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่ความคาดหมายอย่างกว้างขวางว่าเขาจะลงลุ้นนั่งเก้าอี้ตัวนี้เป็นสมัย 2
ฝรั่งเศสยังคงอยู่ในภาวะเตือนภัยระดับสูง หลังจากโมฮัมเหม็ด ลาฮูไอเยจ์ บูห์แลล ชาวตูนิเซียซึ่งอพยพมาอยู่ในฝรั่งเศส ได้ขับรถบรรทุกพุ่งกวาดเข้าไปในกลุ่มประชาชนที่กำลังเฉลิมฉลองวันชาติ 14 กรกฎาคม ในเมืองนีซ สังหารผู้คนไป 84 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 300 คน
ทางด้านออลลองด์ซึ่งเป็นชาวเมืองรูออง และเดินทางมายังเมืองที่เกิดเหตุล่าสุดภายหลังเหตุร้ายผ่านพ้นไปไม่กี่ชั่วโมง ได้เรียกร้องให้มี “ความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน” ในฝรั่งเศส ซึ่งพวกนักการเมืองฝ่ายต่างๆ ยังคงประณามกล่าวโทษใส่กันและกันไม่ยอมเลิกหลังการโจมตีในเมืองนีซ ซึ่งถือเป็นการโจมตีใหญ่ครั้งที่ 3 ที่เกิดขึ้นในแดนน้ำหอมในรอบระยะเวลา 18 เดือน