เอเจนซีส์ / MGR online - ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรีย เผยระหว่างการให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “เปรนซา ลาตินา” ของทางการคิวบา ที่มีการนำเทปสัมภาษณ์มาเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (21 ก.ค.) โดยผู้นำซีเรียระบุมี “ผู้ก่อการร้าย” มากกว่า 5,000 คนเดินทางเข้าสู่เมืองอะเลปโปทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียผ่านทางตุรกีตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรียระบุว่า รัฐบาลตุรกีรวมถึงพันธมิตรอย่างกาตาร์และซาอุดีอาระเบียอยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหว ในการจัดส่งบรรดาผู้ก่อการร้ายหัวสุดโต่งเหล่านี้เข้าสู่เมืองอะเลปโป ที่ถือเป็นที่มั่นแห่งสุดท้ายสำหรับกลุ่มก่อการร้ายที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลซีเรีย
ผู้นำซีเรียยังระบุด้วยว่า เขามีหลักฐานมากมายที่สามารถยืนยันได้ว่ามีนักรบชาวต่างชาติมากกว่า 100 สัญชาติถูกส่งให้เข้ามามีส่วนร่วมในสงครามกลางเมืองซีเรียที่ปะทุขึ้นนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2011 เป็นต้นมา และส่วนใหญ่เป็นกองกำลังที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งตุรกี กาตาร์ และซาอุดีอาระเบีย ภายใต้การชักใยอยู่เบื้องหลังของประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร
ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีอัสซาดยอมรับว่าปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของรัสเซียที่เปิดฉากขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว มีส่วนสำคัญยิ่งในการช่วยเปิดทางให้กองทัพรัฐบาลซีเรียและพันธมิตร สามารถกลับมาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในการทำสงครามกับเหล่าผู้ก่อการร้ายหัวสุดโต่ง
อัสซาดยังยืนยันว่า รัฐบาลของเขาเป็นฝ่ายร้องขอความช่วยเหลือในการโจมตีทางอากาศนี้จากมอสโก ซึ่งสวนทางกับปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรียของสหรัฐฯและชาติพันธมิตรตะวันตกที่ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2014 โดยปราศจากความเห็นชอบของรัฐบาลซีเรีย และไม่ผ่านการรับรองใดๆ จากองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)
ที่ผ่านมา กลุ่มนักรบหัวสุดโต่งที่รัฐบาลซีเรียตราหน้าว่าเป็น “กลุ่มก่อการร้าย” ที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติให้เข้ามาต่อสู้ในสงครามกลางเมืองซีเรียนั้นแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส), แนวร่วม อัล-นุสราที่มีสายสัมพันธ์กับเครือข่ายอัลกออิดะห์ และกลุ่มก่อการร้ายญะอิช อัล-อิสลาม
ก่อนหน้านี้ สตัฟฟาน เด มิสตูรา ทูตพิเศษด้านซีเรียขององค์การสหประชาชาติออกโรงคาดการณ์ว่า สงครามกลางเมืองซีเรีย ที่ปะทุขึ้นนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2011 เป็นต้นมาได้คร่าชีวิตผู้คนในประเทศนี้ไปแล้วมากกว่า 400,000 ราย และผลักดันให้เกิดคลื่นผู้อพยพอีกหลายล้านคน