xs
xsm
sm
md
lg

ปูตินลั่น สามารถจับความเคลื่อนไหวเทคโนโลยีนิวเคลียร์สหรัฐฯ “รู้วินาทีที่เข็นออกมาใช้” เกทับต่อ “เทคโนโลยีมิสไซล์รัสเซียรุดหน้าไกล”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ให้สัมภาษณ์ในงานเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก อิโคโนมิก ฟอรัม SPIEF ในวันศุกร์ (17 มิ.ย.) ต่อบรรดาผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่รวมตัวในที่นั่น ยืนยันว่า “ปีต่อปีและต่อปีทางเรารู้ว่า..จะเกิดอะไรขึ้น และพวกเขาก็รู้ว่าเรารู้ ซึ่งเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปข้างหน้า ทางรัสเซียรู้ว่าปีใดที่ทางเพนตากอนจะมีมิสไซล์ตัวใหม่ออกมา” พร้อมกับตอกย้ำว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศของสหรัฐฯไม่ใช่เพื่อปกป้องจากภัย แต่ยังใช้เพื่อการรุกรานได้ พร้อมอ้าง ความก้าวหน้าของระบบจรวดขีปนาวุธรัสเซียมีการพัฒนาไปไกลแล้ว

RT รายงานเมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.) ว่า ในการให้สัมภาษณ์ต่อบรรดาหัวหน้าสื่อมวลชนสำนักข่าวต่างประเทศชื่อดัง ที่ได้เข้าร่วมงานงานเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก อิโคโนมิก ฟอรัม SPIEF ในวันศุกร์ (17 มิ.ย.) ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ได้กล่าวถึงสถานการณ์ความมั่นคง และสถานการณ์โลก โดยเฉพาะปัญหาการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างรัสเซียและนาโต โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับการติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศของสหรัฐฯใกล้แค่คืบพรมแดนรัสเซีย จ่อจมูกผู้นำประเทศ เช่น ปูติน

ระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ทางสหรัฐฯ อ้างว่า มีไว้เพื่อการปกป้องต่อการถูกรุกราน แต่อาจจะเป็นคล้ายดังม้าไม้เมืองทรอยที่ระบบป้องกันภัยทางอากาศนี้ อาจกลายร่างสามารถถูกใช้เพื่อเป้าหมายรุกรานได้โดยง่าย และผู้นำรัสเซียยังย้ำต่อว่า ปีต่อปีรัสเซียรู้ถึงแผนการพัฒนาเทคโนโลยีของอาวุธมิสไซล์ของวอชิงตัน

ซึ่งปูตินชี้ถึงระบบป้องกันภัยขี้ปนาวุธทางอากาศของนาโต ที่ได้ถูกติดตั้งในประเทศยุโรปตะวันออกว่า ในขณะนี้พวกอเมริกันได้ทำการติดตั้งขีปนาวุธเหล่านี้ไว้ในจุดทางการทหารในยุโรปตะวันออก เพื่อการพร้อมใช้แล้ว

“ขีปนาวุธถูกบรรจุไว้ในแคปซูลเพื่อการเตรียมพร้อม สำหรับการใช้งานที่ฐานทางทะเลของจรวดโทมาฮอว์ก และพวกเขาได้ติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธไว้คู่กัน ซึ่งสามารถจัดการเป้าหมายได้ในระยะไกลถึง 500 กม. (310 ไมล์) แต่เทคโนโลยีมีการพัฒนาไปข้างหน้า และทางเราสามารถล่วงรู้ได้ว่า ในปีใดที่พวกอเมริกันจะมีมิสไซล์เทคโนโลยีใหม่ออกมา ซึ่งมีระยะปฎิบัติการไม่ใช่แค่ 500 กม. แต่เป็น 1,000 กม. หรือไปไกลกว่านั้น และนั่นก็เท่ากับว่าถือเป็นภัยต่อระบบนิวเคลียร์ป้องกันประเทศของพวกเรา”

และประธานาธิบดีรัสเซีย ยังกล่าวต่อ “ปีต่อปีและต่อปีทางเรารู้ว่า..จะเกิดอะไรขึ้น และพวกเขาก็รู้ว่าเรารู้” ปูตินแถลง โดยชี้ว่า สื่อต่างประเทศจากหลายสำนักทั่วโลก ต่างถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลโลกตะวันตกหลอก และทำให้ได้ข้อมูลที่ผิดพลาดตลอดมา

ซึ่งทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น ตามทัศนะของผู้นำรัสเซีย RT ชี้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจถึงความร้ายแรงอย่างแท้จริงในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “สถานการณ์โลกได้ถูกดึงไปในทิศทางใหม่ ในขณะที่ทางวอชิงตันทำเป็นไม่รับรู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง โดยปูตินชี้ต่อว่า เขาได้ใช้พยายามที่จะเข้าถึงบรรดาผู้นำของโลก แต่ก็ล้มเหลว “คนพวกนั้นต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศนั้น เป็นส่วนหนึ่งของระบบป้องกันประเทศ ไม่ใช่เพื่อการรุกราน แต่การที่คนพวกนี้ต่างยืนกรานว่า สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อป้องกันจากการถูกรุกราน นั้นไม่เป็นความจริง” ปูตินให้ความเห็น

และผู้นำรัสเซียยังกล่าวกับหัวหน้าสำนักข่าวต่างประเทศในงาน SPIEF ว่า “ระบบต่อต้านขีปนาวุธนั้นเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การรบแบบรุกคืบ และอีกทั้งระบบมิสไซล์นี้มีความสามารถในการโจมตี”

ซึ่งสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างมาก คือ การระบบที่ยิงขีปนาวุธต่อต้านนี้สามารถถูกนำมาใช้ เพื่อยิงขีปนาวุธเพื่อมุ่งการทำลาย เช่น จรวดโทมาฮอว์ก ได้ ซึ่งใช้เวลาไม่นานในการติดตั้ง และปูติน กล่าวต่อว่า “และทางรัสเซียรู้ได้อย่างไรถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในฐานยิงมิสไซล์เหล่านี้ สิ่งที่ทุกคนต้องทำ คือ การแค่เซ็ตโปรแกรมระบบใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบไม่มีใครสามารถสังเกตได้ และปูตินยังย้ำต่อว่า และที่สำคัญรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งฐานทัพซึ่งติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศเหล่านี้ ไม่สามารถรับรู้ได้อย่างแน่นอน

RT รายงานต่อว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ได้ชี้ให้เห็นว่า วอชิงตันเข้าปะทะตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้ตัดสินใจสั่งการเคลื่อนระบบป้องกันภัยทางอากาศเหล่านี้ เพื่อการต่อต้านระบบมิสไซล์ของอิหร่าน ซึ่งผู้นำรัสเซีย ชี้ว่า “ภัยจากขีปนาวุธอิหร่านนี้ไม่มีจริง” ทั้งนี้ ต้องขอบคุณการเข้ามาข้องเกี่ยวอย่างเต็มตัวของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา “และดังนั้น จึงเป็นคำถามที่ว่า ทำไมคนพวกนี้จำเป็นต้องติดตั้งระบบป้องกันภัยไว้ในโรมาเนีย”

และปูตินกล่าวยืนยันต่อว่า ในขณะที่ทางนาโตพยายามจะปฏิเสธข้อสงสัยของรัสเซียที่มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น แต่ทว่านโยบายของทางวอชิงตันสุดอันตรายที่เรียกว่า “ยุทธศาสตร์การสร้างความสมดุล” (strategic balance) เกิดขึ้นได้ เพราะที่ผ่านมาโลกมีความสงบจากสงครามในสเกลใหญ่ระดับทั้งภูมิภาค ซึ่งจากการถอนตัวจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธปี 1972 เป็นสิ่งแรกที่ทางวอชิงตันได้กระทำเพื่อสั่นคลอนเสถียรภาพของโลกแล้ว” ประธานาธิบดีรัสเซียแถลง และเพื่อทำให้โลกยังสามารถมีความสมดุล ทางมอสโกจึงจำเป็นต้องพัฒนาความก้าวหน้าทางระบบขีปนาวุธของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางสหรัฐฯได้เห็นด้วยในช่วงต้นยุค 2000 ที่ทางรัสเซียประสบปัญหาทางเศรษฐกิจในขณะนั้น

ปูตินกล่าวว่า “พวกเขาคงคิดว่ายุทโธปกรณ์ตั้งแต่ในยุคอดีตสหภาพโซเวียตคงจะด้อยความสามารถลง” และเสริมต่อว่า “แต่ในทุกวันนี้ทางเราสามารถบรรลุความก้าวหน้าทางเทโนโลยีระบบจรวดมิสไซล์ ทางเราได้ปรับปรุงให้ระบบขีปนาวุธของเรามีความทันสมัย และสามารถสร้างขีปนาวุธรุ่นถัดไปได้แล้ว”

สื่อรัสเซียรายงานว่า ผู้นำรัสเซียยืนยันว่า “ทางรัสเซียต้องสร้างความมั่นคงไม่เพียงให้แก่ตัวเอง แต่ยังจำเป็นต้องสร้างความสมดุลทางยุทธศาสตร์ให้ต่อโลก ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นหลักประกันต่อความสงบสุขให้กับโลกใบนี้….ซึ่งตัวภัยคุกคามร่วมของรัสเซียได้ให้สิ่งนี้ต่อมวลมนุษย์ชาติมานับหลายสิบปี”





กำลังโหลดความคิดเห็น