เรียกได้ว่าช็อกกันไปทั้งโลก สำหรับเหตุการณ์กราดยิงหมู่เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมาภายในไนต์คลับของชาวเกย์ที่มีชื่อว่า “Pulse” ภายในเมืองออร์ลันโด มลรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 50 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 53 ราย ซึ่งเหตุการณ์กราดยิงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ถูกระบุว่า เป็นการโจมตีที่ทำให้เกิดการนองเลือดมากที่สุดบนแผ่นดินเมืองลุงแซม นับตั้งแต่เหตุก่อวินาศกรรม 9/11 เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2011 เป็นต้นมา
นอกเหนือจากการครองสถิติการโจมตี ที่ทำให้เกิดการนองเลือดมากที่สุดบนแผ่นดินเมืองลุงแซม นับตั้งแต่เหตุก่อวินาศกรรม 9/11 แล้ว เหตุกราดยิงช็อกโลกที่ออร์ลันโดหนนี้ยังถือเป็นการสังหารหมู่ที่มีเป้าเป็นกลุ่มคน “รักร่วมเพศ” ครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นมาในซีกโลกตะวันตกอีกด้วย
ผู้ที่ลงมือก่อเหตุสะเทือนขวัญคราวนี้ ถูกระบุว่า คือ โอมาร์ มาทีน หนุ่มอเมริกันวัย 29 ปีซึ่งมีบิดา-มารดาเป็นผู้มีเชื้อสายอัฟกัน และยังเคยประกาศตัวสวามิภักดิ์ต่อกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในช่วงก่อนหน้านี้
แม้ทีมสืบสวนของรัฐบาลอเมริกัน จะยังคงตรวจสอบไม่พบ “ความเกี่ยวข้องโดยตรง” ระหว่างกลุ่มไอเอส กับเหตุนองเลือดที่ออร์ลันโด แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องต่างพากันลงความเห็นว่า โอมาร์ มาทีน น่าจะลงมือก่อเหตุสะเทือนขวัญในครั้งนี้ โดยได้ “แรงบันดาลใจ” มาจากกลุ่มรัฐอิสลาม
ผลของการกราดยิงแบบอุกอาจของมาทีน ทำให้มีผู้เสียชีวิตซึ่งทั้งหมดเป็นพลเรือน 49 รายซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่มีอายุ 25 ปี หรือต่ำกว่านั้น และยังทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 53 ราย ก่อนที่มาทีนจะถูกเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯปลิดชีพ และกลายเป็นศพที่ 50 สำหรับเหตุการณ์นี้
ด้านสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) เชื่อมั่นว่า มือปืนสังหารหมู่บาร์เกย์ออร์ลันโด ถูกบ่มเพาะลัทธิหัวรุนแรงสุดโต่งมาจากโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ โดยที่เจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการเอฟบีไอ แถลงเมื่อวันจันทร์ (13) ว่า ยังไม่พบสิ่งบ่งชี้ว่า มาทีนเป็นสมาชิกเครือข่ายก่อการร้ายใด ๆ และขณะนี้ เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบความเป็นไปได้ของความเกี่ยวข้องระหว่างมาทีน กับลัทธิต่อต้านเกย์ ท่ามกลางรายงานข่าวที่ว่า คณะลูกขุนใหญ่ของรัฐบาลกลางอาจประชุมและตั้งข้อหาต่อนูร์ ซัลมาน ภรรยาของมาทีน จากความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดในการฆาตกรรม 49 กระทง และสมรู้ร่วมคิดในการพยายามฆ่า รวมทั้งไม่แจ้งหน่วยงานรักษากฎหมายเกี่ยวกับแผนการโจมตีและให้การเท็จอีก 53 กระทง
ขณะที่กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ออกมาอวดอ้างว่า โอมาร์ มาทีน ผู้ก่อเหตุกราดยิงเมื่อวันอาทิตย์ (12) ที่ถือเป็นการก่อการร้ายครั้งรุนแรงที่สุดในอเมริกานับจากวินาศกรรม 9/11 นั้น เป็นนักรบของกลุ่มตน ทว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนของสหรัฐฯ กำลังพิสูจน์ว่า มือปืนรายนี้ เป็นนักรบญิฮัดที่ได้รับมอบหมายภารกิจ หรือ “หมาป่าโดดเดี่ยว” ที่ได้แรงบันดาลใจจากโฆษณาชวนเชื่อจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง เพื่อ ก่อการร้ายและกระทำการจากความเกลียดชัง ตามที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้
เหตุสังหารหมู่ในมลรัฐฟลอริดาครั้งนี้ สร้างความตื่นตระหนกตกตะลึงไปทั่วโลก รวมทั้งยังทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับกลยุทธ์ต่อต้านการก่อการร้าย และกฎหมายควบคุมอาวุธปืนของอเมริกา เนื่องจากผู้ต้องสงสัยสามารถซื้อหาปืนไรเฟิลและปืนสั้นมาไว้ในครอบครองได้ ทั้งๆ ที่เคยมีประวัติว่า ถูกเอฟบีไอเรียกไปสอบปากคำถึงสองครั้งสองคราในปี 2013 และปี 2014
ประธานาธิบดีโอบามา ระบุว่า กฎหมายที่มีอยู่เปิดช่องให้เหล่า ”ตัวปัญหา” หรือผู้ต้องการก่อความรุนแรง สามารถเข้าถึงอาวุธร้ายแรงได้อย่างรวดเร็ว และว่า ถึงเวลาแล้วที่สภาคองเกรสส์ซึ่งควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน จะต้องเร่งผ่านกฎหมายควบคุมอาวุธปืนในเร็ววัน ขณะที่ทางทำเนียบขาวยืนยัน การเดินทางของโอบามาเพื่อไปให้กำลังใจครอบครัวเหยื่อกราดยิงที่ออร์ลันโดในวันพฤหัสบดี (16)
ในอีกด้านหนึ่ง นอกจากบรรยากาศของความโศกสลดและโกรธแค้นแล้ว ในเวลานี้ สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในบรรยากาศของการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งแน่นอนว่า ผู้สมัครตัวเก็งของทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ต้องฉกฉวยโอกาสทองนี้ออกมาเรียกคะแนนนิยมให้กับตนเองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรครีพับลิกัน ออกโรงโจมตี ฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากฟากฝั่งเดโมแครตว่า ต้องการปล่อยให้กลุ่มก่อการร้ายของพวกอิสลามสุดโต่งเล็ดรอดเข้าสู่อเมริกาผ่านนโยบายเปิดรับผู้ ลี้ภัยเข้าประเทศโดย อดีตพิธีกรดังรายการเรียลลิตีโชว์และเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ผู้นี้ ยังประกาศว่า ถ้าเขาเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี เขาจะไม่ยอมให้พลเมืองของประเทศที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายต่อสหรัฐฯและ พันธมิตรเดินทางเข้าสู่แผ่นดินอเมริกา
ด้าน คลินตัน ที่มีดีกรีเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ตอบโต้กลับว่า เป้าหมายสำคัญอันดับแรกที่จะทำเวลานี้ คือ การระบุตัว “หมาป่าเดียวดาย” และแจ้งเตือนพันธมิตรของอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งรวมถึงซาอุดีอาระเบีย เพื่อให้กวาดล้างพลเมืองของตัวเองที่สนับสนุนบรรดากลุ่มหรือลัทธิสุดโต่ง
แม้จะยังคงมีคำถามหลงเหลืออยู่มากมายจากเหตุกราดยิงไนต์คลับเกย์ที่ออร์ลันโด แต่ดูเหมือนในเวลานี้จะมีเพียงสิ่งเดียวที่กระจ่างชัดเจน นั่นคือ นี่จะไม่ใช่เหตุนองเลือดครั้งสุดท้ายบนแผ่นดินอเมริกาอย่างแน่นอน ตราบใดที่รัฐบาลสหรัฐฯยังคงยึดมั่นถือมั่นในแนวนโยบายและการเมืองระหว่างประเทศ แบบเกะกะระรานไปทั่วโดยเฉพาะต่อโลกมุสลิม และเชื่อแน่ว่า แผ่นดินเมืองลุงแซมจะต้องเผชิญกับ “คลื่นแห่งการก่อการร้าย” ในรูปแบบต่างๆต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น ซึ่งสิ่งที่น่าเศร้าก็คือ ชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์อีกนับไม่ถ้วน ที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงต่อไป