เอเจนซีส์ - โค ยอง-ซุก (Ko Yong-suk) น้าสาวของประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน ใช้ชีวิตเรียบง่ายภายใต้ชื่อใหม่ในเมืองนิวยอร์ก ด้วยการเปิดร้านซักแห้ง หลังหลบหนีเข้าอเมริกาในปี 1998 และรับเงินจาก CIA สหรัฐฯ 200,000 ดอลลาร์ ซื้อบ้าน ซึ่งโคยังเปิดเผยความลับหลานชาย คิม จอง อึน ว่า แท้จริงแล้วมีอายุเพียงแค่ 27 ปีเท่านั้นในขณะเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศในปี 2011
เดลีเทเลกราฟ์ สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้ (27 พ.ค.) ว่า ในการเปิดเผยของหนังสือพิมพ์สหรัฐฯ วอชิงตันโพสต์ พบว่า โค ยอง-ซุก (Ko Yong-suk) น้องสาวของโค ยอง-ฮุย (Ko Yong-hui) มารดาของประธานาธิบดีเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน คิม จอง อึน นั้น ปัจจุบันใช้ชีวิตเรียบง่ายพร้อมสามี รี กัง (Ri Gang) และบุตร 3 คน พร้อมเปิดกิจการร้านซักแห้งในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ
ทั้งนี้ พบว่า โคได้หลบหนีเข้าสถานทูตสหรัฐฯในกรุงเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อขอลี้ภัยในปี 1998 ในขณะที่เธอถูกส่งไปทำหน้าที่ดูแล คิม จอง อึน หลานชายในระหว่างที่เขาต้องศึกษาอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์
ซึ่งหลังจากที่โคได้เดินทางมายังสหรัฐฯแล้ว เธอได้ใช้เงินจำนวน 200,000 ดอลลาร์ ที่ได้รับจากหน่วยงาน CIA สหรัฐฯ ในการซื้อบ้านเพื่ออาศัยในมหานครแห่งนี้ โดยในการให้สัมภาษณ์กับสื่อสหรัฐฯ เธอได้กล่าวอย่างมีความสุข ว่า เพื่อน ๆ ชาวอเมริกันที่นี่ต่างกล่าวว่า ชีวิตของโคช่างน่าอิจฉา ที่เธอมีทุกสิ่ง
เดลีเทเลกราฟ รายงานว่า ภายในบ้านพักในสหรัฐฯของโคนั้น มีภาพของประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน ในวัยเด็กประดับอยู่ด้วย ซึ่งในการเปิดเผยกับวอชิงตันโพสต์ โค ยอง-ซุก กล่าวอย่างอารมณ์ดี ว่า “ลูก ๆ ของฉันได้เข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง และพวกเขาในตอนนี้ประสบความสำเร็จ และดิฉันมีสามีที่สามารถซ่อมได้ทุกอย่าง และนั่นไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ดิฉันต้องปรารถนาอีกแล้ว”
และนอกจากนี้ ในการให้สัมภาษณ์พิเศษ โคยังเปิดเผยต่อถึงหลานชาย คิม จอง อึน ว่า ในความเป็นจริงแล้ว ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ มีอายุน้อยกว่าที่ได้มีรายงานปรากฏผ่านหน้าสื่อ
ซึ่งมีการเชื่อกันว่า คิม มีอายุราว 33 - 34 ปี แต่จากการเปิดเผยของโค เธอชี้แจงว่า แท้จริงแล้วผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือเกิดในปี 1984 และหมายความว่า คิม จอง อึน เข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีเมื่อมีอายุได้เพียง 27 ปีเท่านั้นในปี 2011
ทั้งนี้ ในการยืนยันของโค เธอมั่นใจในข้อมูลอายุของ คิม จองอึน เพราะบุตรชายของเธอเกิดในปีเดียวกันกับผู้นำเกาหลีเหนือ และคนทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กด้วยกันมา “ทั้งคิมและลูกชายของดิฉันเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่แรกเกิด และดิฉันเป็นคนที่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับเด็กทั้งสอง” โค กล่าว
สื่ออังกฤษรายงานว่า ครอบครัวของโคพร้อมสามีนั้น มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับครอบครัวของผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ จนกระทั่งถึงขั้นไว้ใจอนุญาตให้โคและครอบครัวเดินทางออกจากเกาหลีเหนือไปยังสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อดูแลบรรดาทายาทของอดีตประธานาธิบดี คิม จองอิล ผู้พ่อ
เดลีเทเลกราฟ รายงานต่อว่า สำหรับตัวประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ เขาถูกส่งไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ ในขณะที่มีอายุ 12 ปี ในปี 1996 ที่โรงเรียนนานาชาติที่นั่น
“เราอยู่ภายในบ้านธรรมดาหลังหนึ่ง และพยายามใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปโดยปกติ โดยที่ตัวดิฉันรับบทเป็นแม่ของครอบครัว” โค เล่าย้อนรำลึกความหลัง และเธอยังกล่าวต่อว่า “ดิฉันเป็นคนสนับสนุนให้คิม พาเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านบ้าง เพราะมีความต้องการให้ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนสามัญชนปกติ”
น้าสาว คิม จองอึน ยังกล่าวต่อว่า “ดิฉันเป็นคนจัดเตรียมของว่าง พวกเขาทานเค้กและเล่นสนุกกับของเล่นตัวต่อเลโก้”
และในการเปิดเผยชีวประวัติของ โค ยอง-ซุก ยังพบว่าในวัยเด็กของเด็กชาย คิม จอง อึน นั้น มีความสนใจส่วนใหญ่ในกีฬาบาสเกตบอล และถึงกับมีภาพที่น้าสาวจำความได้ว่า หลานชายคิมนอนหลับไปพร้อมกับลูกบาส “คิมเริ่มต้นเล่นบาสเกตบอล และหลงใหลกับมันหลังจากนั้น” โค ให้สัมภาษณ์
อย่างไรก็ตาม สื่ออังกฤษชี้ว่า ทั้งโคและสามีรี อ้างว่า พวกเขาทั้งคู่ยังคงมีความจงรักภักดีกับหลานชายผู้นำเกาหลีเหนือ โดยเรียกกล่าวขานชื่อคิมว่า “Marshal Kim Jong-un” แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทำให้ทั้งโคและสามีตัดสินใจลี้ภัยไปอเมริกาในปี 1998
และในการให้สัมภาษณ์ พบว่า หลังจากที่โคและรีถูกส่งมาสหรัฐฯ คนทั้งคู่ถูกทางการสหรัฐฯสอบสวน และได้รับอนุญาตให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองนิวยอร์กในเวลาต่อมา โดยทั้งโคและรีในขณะนี้ใช้ชื่อใหม่ในอเมริกาที่ทางสื่อสหรัฐฯไม่ได้เปิดเผย
พร้อมกันนั้น โค มีบ้านและธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตัวเองด้วยการช่วยเหลือจากหน่วยงาน CIA
และในการให้สัมภาษณ์ ดูเหมือนครอบครัวของโคจะประสบความสำเร็จจนสามารถเดินทางจากฝั่งตะวันออก เพื่อไปเที่ยวในเมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา ฝั่งตะวันตกได้
ทั้งนี้ ด้านสามี รียืนยันผ่านวอชิงตันโพสต์ ว่า เขาและภรรยาไม่ได้ทรยศเปิดโปงความลับเกาหลีเหนือใด ๆ “พวก CIA เชื่อว่า พวกเราต้องล่วงรู้ความลับสำคัญแน่ ๆ แต่ความจริงแล้ว เราไม่ทราบอะไรทั้งนั้น” ซึ่งรีชี้ว่า “เป็นแต่ว่าพวกเราช่วยดูแลเด็ก ๆ และช่วยเหลือเรื่องการเรียนของพวกเขา และดังนั้น แน่นอนพวกเราย่อมรู้ชีวิตตามปกติของคนเหล่านี้ แต่เราไม่มีส่วนรับรู้ข้อมูลด้านการทหาร หรือความลับนิวเคลียร์ หรือเกี่ยวกับกองทัพเกาหลีเหนือ”