เอเจนซีส์ / MGR online - ประธานาธิบดีหญิง โคลินดา กราบาร์-คิตาโรวิช แห่งโครเอเชีย เริ่มภารกิจในการเดินทางเยือนอิหร่านอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 3 วันโดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการกระชับความสัมพันธ์ทั้งทางด้านการเมือง พลังงาน และการค้ากับสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ ที่เพิ่งหลุดพ้นจากช่วงเวลาแห่งการถูกคว่ำบาตรจากประชาคมโลก
รายงานข่าวระบุว่า ผู้นำหญิงของโครเอเชียซึ่งเดินทางถึงกรุงเตหะรานในคืนวันอังคาร (17 พ.ค.) ได้เข้าพบหารือในวันพุธ (18) กับประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานีของอิหร่านแล้ว โดยที่ทางสถานีโทรทัศน์ “IRINN TV” ของทางการอิหร่านรายงานว่า ผู้นำทั้งสองได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) จำนวน 2 ฉบับ เพื่อเปิดทางสู่การกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลซาเกร็บและเตหะราน รวมถึง การขยายความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจของโครเอเชียกับทาง “หอการค้าแห่งอิหร่าน”
รายงานข่าวระบุว่า การเดินทางเยือนอิหร่านครั้งประวัติศาสตร์ของผู้นำโครเอเชียในครั้งนี้ ยังมีคณะผู้แทนภาคธุรกิจจากบริษัทชั้นนำของโครเอเชีย 72 แห่งเดินทางร่วมมาด้วย เช่นเดียวกับการเดินทางมาถึงของรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลโครเอเชียหลายรายตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา
ก่อนหน้าการเดินทางเยือนอิหร่านในครั้งนี้ สื่อดังของโครเอเชียอย่าง “Total Croatia News” รายงานว่า นอกเหนือจากการจัดซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากอิหร่านแล้ว ทางการโครเอเชียยังต้องการเพิ่มบทบาทของตนในฐานะประเทศผู้กระจายสินค้าพลังงานของอิหร่านต่อไปยังประเทศอื่นๆ ทางตอนกลางและตอนเหนือของยุโรปด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับข้อแลกเปลี่ยนให้อิหร่านช่วยกระจายสินค้าส่งออกของโครเอเชีย ไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียกลาง
ในอีกด้านหนึ่งมีรายงานซึ่งยังไม่มีการยืนยันว่า ภาคเอกชนของโครเอเชียแสดงความสนใจจะเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมพลังงานของอิหร่านด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ อิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อ 14 ก.ค.ปีที่แล้ว ถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และถือเป็นข้อตกลงซึ่งพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่
หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่า นี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ “โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น” และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์ และช่วยลดทอนความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน ออกแถลงว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตันและเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไปก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮูประกาศว่าจะเดินหน้าทำทุกวิถีทาง เพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ ซึ่งทางฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของสหรัฐฯ และโลกตะวันตก ให้กับชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน
ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งหลายทั้งปวงของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานได้ถูกยกเลิกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่ามีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ
นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญยิ่งทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และยังถือเป็นผลดีต่อการลดทอนความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสองต่างต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากบรรดา “นักการเมืองสายเหยี่ยว” ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น “แกนอักษะแห่งปีศาจ”
ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า ผลของข้อตกลงนี้จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านได้ถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่านจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี
ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงคราวนี้อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง
โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่าอิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันในเวลานี้มองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน ที่มี “ศัตรูร่วมกัน” คือ กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรักและซีเรียอยู่ในเวลานี้ และถือเป็น “ภัยคุกคามใหญ่หลวง” ต่อสันติภาพของโลก
ในอีกด้านหนึ่งการยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงจะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้ว กว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้น อาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 นี้ก็ตาม