เอเจนซีส์/MGR online - อิหร่านเริ่มการส่งออกน้ำมันไปยังกรีซในปริมาณ 60,000 บาร์เรลต่อวัน ถือเป็นการรื้อฟื้นสายสัมพันธ์ด้านพลังงานครั้งเก่าก่อนระหว่างรัฐบาลเตหะราน กับดินแดนในยุโรปที่เคยเป็นผู้ซื้อน้ำมันรายสำคัญจากอิหร่าน ตั้งแต่ยุคก่อนการคว่ำบาตร
มอห์เซน กัมซารี หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของบรรษัทน้ำมันแห่งชาติของอิหร่าน (เอ็นไอโอซี) เผยในวันเสาร์ (23 เม.ย.) โดยระบุ การส่งออกน้ำมันจากอิหร่านไปยังกรีซได้เริ่มต้นแล้วในสัดส่วน 60,000 บาร์เรลต่อวัน
รายงานข่าวระบุว่า การส่งออกน้ำมันล็อตแรกนี้ ป็นผลพวงมาจากการบรรลุข้อตกลงเมื่อเดือนมกราคม ระหว่างเอ็นไอโอซี กับทาง “เฮลเลนิก ปิโตรเลียม” ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านโรงกลั่นน้ำมันของกรีซ โดยที่ข้อตกลงระยะยาวฉบับนี้จะช่วยให้กรีซสามารถนำเข้าน้ำมันได้ครอบคลุมสัดส่วน 1 ใน 4 ของความต้องการใช้น้ำมันทั้งหมดของประเทศ
กรีซ ถือเป็นลูกค้าน้ำมันรายสำคัญของอิหร่านมายาวนานตั้งแต่ก่อนที่อิหร่านจะถูกโลกตะวันตกคว่ำบาตรเมื่อปี 2012 จากผลพวงของโครงการพัฒนานิวเคลียร์
ก่อนหน้านี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บิญาน ซานเกเนห์ รัฐมนตรีกระทรวงปิโตรเลียมของอิหร่านออกมาเปิดเผยว่า มีคำสั่งซื้อจากหลายประเทศในยุโรปซึ่งจะทำให้อิหร่านสามารถส่งออกน้ำมันสู่ทวีปนี้ได้ในปริมาณมหาศาลราว 700,000 บาร์เรลต่อวัน หรือเป็นการ “ทุบสถิติเดิม” ที่ยุโรปเคยสั่งซื้อน้ำมันจากอิหร่านในปริมาณ 400,000 บาร์เรลต่อวัน ในยุคก่อนการคว่ำบาตร
ทั้งนี้ อิหร่าน และมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่าง เยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อ 14 ก.ค.ปีที่แล้ว ถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และถือเป็นข้อตกลงซึ่งพลิกโฉมการเมือง และความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่
หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่า นี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ “โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น” และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์ และลดทอนความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่าน แถลงว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่า การมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตัน และเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไปก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่า จะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ ซึ่งทางฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของสหรัฐฯ และโลกตะวันตกให้แก่ชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน
ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งหลายทั้งปวงของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานได้ถูกยกเลิกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อแลกเปลี่ยนต่อการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่า มีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ
นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญ ทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และถือเป็นผลดีต่อการลดทอนความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสองต่างต้องเผชิญหน้าต่อแรงต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากบรรดา “นักการเมืองสายเหยี่ยว” ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น “แกนอักษะแห่งปีศาจ”
ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอ ของทางการอิหร่าน รายงานว่า ผลของข้อตกลงนิวเคลียร์นี้จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านได้ถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่านจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี
ว่ากันว่า ผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงนิวเคลียร์คราวนี้ อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่า อิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันมองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่านที่มี “ศัตรูร่วมกัน” คือ กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรัก และซีเรียอยู่ในเวลานี้ และถือเป็น “ภัยคุกคามใหญ่หลวง” ต่อสันติภาพของโลก
ในอีกด้านหนึ่งการยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงจะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้นอาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 ก็ตาม