xs
xsm
sm
md
lg

อิหร่านบรรลุข้อตกลงร่วมมือด้านอุตสาหกรรม 2 พันล้านกับออสเตรีย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประธานาธิบดีไฮน์ซ ฟิเชอร์ แห่งออสเตรีย (ภาพจากรอยเตอร์)
เอเจนซีส์ / MGR online – ทางการอิหร่านเผย ลงนามข้อตกลงส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมกับรัฐบาลออสเตรียในวันพฤหัสบดี (31 มี.ค.) คาด มูลค่าของโครงการความร่วมมือทวิภาคี ระหว่างรัฐบาลเตหะรานและเวียนนาพุ่งทะลุ 2 พันล้านดอลลาร์

รายงานของสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของอิหร่านระบุว่า การลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างอิหร่านและออสเตรียดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี (31) แบ่งออกเป็นข้อตกลงย่อยรวม 8 ฉบับซึ่งครอบคลุมภาคส่วนอุตสาหกรรมที่สำคัญๆ ที่ทั้งสองประเทศต้องการกระชับความร่วมมือให้มากขึ้น อย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เหล็ก ยาและเวชภัณฑ์ รวมถึง การให้บริการเชิงวิศวกรรม

แหล่งข่าวทางการทูตในกรุงเตหะรานเผยว่า หากข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ จะส่งผลให้มูลค่าการค้าทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศจะเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ราว 300 ล้านดอลลาร์ เป็น 2 พันล้านดอลลาร์ก่อนถึงปี ค.ศ. 2020 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิม ที่มีการประกาศโดยผู้แทนด้านการค้าของทั้งอิหร่านและออสเตรียเมื่อปีที่แล้วที่ระดับ 1 พันล้านดอลลาร์

เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วประธานาธิบดีไฮน์ซ ฟิเชอร์แห่งออสเตรีย ได้เดินทางเยือนอิหร่านอย่างเป็นทางการพร้อมด้วยคณะผู้แทนภาคธุรกิจกว่า 240 ชีวิต และการเดินทางเยือนอิหร่านในคราวนั้นถูกระบุว่า เป็นการปูพื้นฐานของการทำข้อตกลงความร่วมมือทวิภาคีในครั้งนี้

ทั้งนี้ อิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ ( P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้ เมื่อ 14 ก.ค.ปีที่แล้วถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และเป็นข้อตกลงซึ่งพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่

หลังการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่า นี่ถือเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่ “โลกแห่งความหวังที่เพิ่มสูงขึ้น” และตอกย้ำในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์ และลดทอนความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง

ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำสายกลางของอิหร่านแถลงว่าความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตันและเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไปก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูประกาศว่า จะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ ซึ่งทางฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของสหรัฐฯ และโลกตะวันตก ให้กับชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน

ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งหลายของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานได้ถูกยกเลิกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่า มีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ

นักวิเคราะห์มองว่า การบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญ ทั้งสำหรับบารัค โอบามา และฮัสซัน รูฮานี และถือเป็นผลดี ต่อการลดทอนความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่มีมายาวนาน ถึงแม้ว่าผู้นำทั้งสองต่างต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านอย่างหนักจากบรรดา “นักการเมืองสายเหยี่ยว”ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจำนวนมากยังคงมองอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เป็น “แกนอักษะแห่งปีศาจ”

ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า ผลของข้อตกลงนี้จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านได้ถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่านจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี

ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงคราวนี้ อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่าอิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

อย่างไรก็ดี รัฐบาลอเมริกันมองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่าน ที่มี “ศัตรูร่วมกัน” คือ กลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส) ที่กำลังยึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรักและซีเรียอยู่ในเวลานี้และถือเป็น“ภัยคุกคามใหญ่หลวง” ต่อสันติภาพของโลก

ในอีกด้านหนึ่งการยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงจะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้ว กว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้น อาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 นี้ก็ตาม


กำลังโหลดความคิดเห็น