เอเอฟพี - หญิงชาวเมืองชิคาโกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากร้านกาแฟดัง “สตาร์บัคส์” เป็นเงินกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (175 ล้านบาท) โดยอ้างว่าเครื่องดื่มเย็นที่เธอซื้อมีปริมาณน้ำอยู่จริงแค่ครึ่งแก้ว ส่วนที่เหลือเป็น “น้ำแข็ง” ซึ่งเท่ากับหลอกลวงผู้บริโภคให้ต้องจ่ายแพงเกินจริง
สเตซี พินคัส ได้ยื่นฟ้องต่อคณะลูกขุน และต้องการยกระดับคดีนี้ให้เป็นการดำเนินคดีแบบกลุ่ม (class action) โดยเธอกล่าวหาว่าเครือข่ายร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดของโลกเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ลูกค้าในปริมาณน้อยกว่าที่โฆษณา “และบ่อยครั้งที่มีเครื่องดื่มจริงๆ แค่ครึ่งเดียว”
“เครื่องดื่มเย็นของสตาร์บัคส์จึงมีปริมาณน้อยกว่าที่โฆษณา ทั้งด้วยการออกแบบ วิธีปฏิบัติงานขององค์กร และกระบวนการผลิต” เอกสารคำฟ้องที่เธอยื่นต่อศาลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระบุ
พนักงานชงกาแฟของสตาร์บัคส์มักจะเทเครื่องดื่มลงในแก้วพลาสติกจนถึงเส้นสีดำขีดบนสุดที่พิมพ์อยู่ข้างแก้ว จากนั้นจึงเติมน้ำแข็งจนเต็ม
พินคัสอ้างว่า ตั้งแต่เดือน เม.ย.ปี 2006 เป็นต้นมา เธอและลูกค้าสตาร์บัคส์อีกหลายล้านคนถูก “ฉ้อโกง” มาโดยตลอด เพราะถ้าซื้อกาแฟเย็นขนาด Venti จะได้เครื่องดื่มจริงเพียง 14 ออนซ์ (เท่ากับปริมาณของเหลวที่เทจนถึงเส้นสีดำขีดบนสุด) ทั้งที่เมนูของร้านโฆษณาว่าแก้วรุ่นนี้มีขนาด 24 ออนซ์
“สตาร์บัคส์พิมพ์เส้นสีดำ 3 ขีดไว้บนแก้วเครื่องดื่มเย็น เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานจะใส่เครื่องดื่มน้อยกว่าที่โฆษณาไว้ในเมนู” คำฟ้องระบุ
“อันที่จริงอาจจะกล่าวได้ว่า บริษัท สตาร์บัคส์ สั่งให้พนักงานของร้านเสิร์ฟเครื่องดื่มเย็นในปริมาณน้อยกว่าที่โฆษณาไว้”
พินคัส ยังร้องเรียนเรื่องการกำหนดราคาของสตาร์บัคส์ โดยชี้ว่าเครื่องดื่มเย็นมีราคาแพงกว่าเครื่องดื่มร้อนมากเกินไป พร้อมยกตัวอย่างกาแฟเย็นไซส์ Grande ขนาด 16 ออนซ์ ซึ่งขายในราคา 2.65 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กาแฟร้อนชงสดขนาดเดียวกันขายแค่ 2.10 ดอลลาร์สหรัฐ
“สตาร์บัคส์ไม่เพียงใส่เครื่องดื่มเย็นน้อยกว่าที่โฆษณาเท่านั้น แต่ยังตั้งราคาพรีเมียมสำหรับเครื่องดื่มประเภทนี้ด้วย”
สตาร์บัคส์ได้ออกมาตอบโต้คำร้องเรียนของพินคัส ว่าเป็นเรื่อง “ไร้สาระ และปราศจากคุณค่า”
“ลูกค้าของเราย่อมเข้าใจและคาดหมายอยู่แล้วว่า น้ำแข็งคือองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของเครื่องดื่มใส่น้ำแข็ง (iced beverage) ทุกชนิด” บริษัทระบุในคำแถลง
“หากลูกค้าท่านใดไม่พอใจขั้นตอนในการชงเครื่องดื่ม พนักงานของเราก็ยินดีที่จะทำให้ใหม่”
ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ซึ่งมีสาขากว่า 23,000 แห่งทั่วโลก ทำรายได้สูงถึง 19,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2015 เพิ่มจากปีก่อนหน้าราว 16.5%