เอเอฟพี - ธนาคารกลางมาเลเซียเมื่อวันพฤหัสบดี (28 เม.ย.) ออกคำสั่งให้ 1MDB กองทุนรัฐที่กำลังมีปัญหา คืนเงินที่ส่งไปยังต่างแดนโดยไม่ได้รับความเห็นชอบ ก่อความตึงเครียดเพิ่มเติมแก่กองทุนอื้อฉาวแห่งนี้ ไม่กี่วันหลังจากผิดนัดชำระหนี้พันธบัตร
กองทุนพัฒนามาเลเซีย (1MDB) ซึ่งก่อตั้งโดยนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ในปี 2009 โอนเอนอยู่บนขอบเหวแห่งการล้มละลาย ท่ามกลางการสืบสวนจากทั่วโลกต่อข้อกล่าวหามีการขโมยเงินไปจากกองทุนแห่งนี้หลายพันล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน นายนาจิบ ยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อกรณีมีเงิน 681 ล้านดอลลาร์ โอนจากต่างแดนเข้าบัญชีส่วนตัวของเขาในปี 2013
ถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดย แบงก์ เนการา มาเลเซีย หรือ ธนาคารกลางมาเลเซีย ไม่ได้เจาะจงว่าทางกองทุน 1MDB ถูกสั่งให้คืนเงินกลับประเทศมากน้อยแค่ไหน แต่ธนาคารกลางแห่งนี้เคยกดดัน 1MDB เกี่ยวกับเงิน 1,830 ล้านดอลลาร์ ที่ทางกองทุนเคยยอมรับว่าได้ส่งไปยังต่างแดน
ขณะที่มีคำถามมากมายหมุนวนอยู่รอบ ๆ เงินหลายพันล้านดอลลาร์จาก 1MDB ที่เคลื่อนไหวอยู่ทั่วโลก ทางธนาคารกลางมาเลเซีย บอกว่า กองทุนแห่งนี้ล้มเหลวในการพิสูจน์การใช้เงินดังกล่าว หรือปฏิบัติตามคำสั่งก่อนหน้านี้ให้คืนเงิน 1,830 ล้านดอลลาร์
ทาง 1MDB ระบุว่า จะยอมจ่ายเงินค่าปรับที่ไม่ระบุจำนวน ฐานไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของธนาคารกลางมาเลเซีย แต่ไม่ได้บอกว่าจะคืนเงินในส่วนที่ถูกตั้งข้อสงสัยหรือไม่
ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ 1MDB ซึ่งมี นายนาจิบ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการที่ปรึกษา ผิดนัดชำระหนี้พันธบัตร 1,750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังไม่จ่ายดอกเบี้ยจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กระพือความกังวลว่ารัฐบาลอาจเข้าแทรกแซงและปล่อยกู้แก่ 1MDB ที่อาจสั่นสะเทือนตลาดและส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของมาเลเซีย
ปัจจุบัน 1MDB มีหนี้พันธบัตรรวมกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 387,046 ล้านบาท) และยืนยันว่า ไม่มีการถ่ายโอนเงินออกนอกกองทุน หรือมีปัญหาทางการเงิน แต่คณะกรรมการชุดหนึ่งในรัฐสภาบอกเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า กองทุนนี้โอนเงินไปต่างประเทศอย่างน่าสงสัยไม่ต่ำกว่า 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นายนาจิบ ดำดิ่งสู่วิกฤตเมื่อปีที่แล้ว หลังหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล เปิดโปงว่า มีเงิน 681 ล้านดอลลาร์ โอนจากต่างแดนเข้าบัญชีส่วนตัวของเขาในปี 2013
เขาอ้างว่าเงินดังกล่าวเป็นของขวัญจากราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งส่วนใหญ่ได้ส่งคืนกลับไปแล้ว ขณะที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ เจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบียรายหนึ่ง เผยว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความจริง แต่คำยืนยันนี้ก็เพิ่งมีออกมา หลังจากนิ่งเงียบมาหลายสัปดาห์ จนก่อข้อสงสัยต่อคำกล่าวอ้างดังกล่าว