เอเอฟพี - นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษยอมรับในวันพฤหัสบดี (7 เม.ย.) เขาเคยถือครองหุ้นมูลค่า 30,000 ปอนด์ในกองทุนในต่างประเทศที่จัดตั้งโดยบิดาของเขา ไม่กี่วันหลังจากต้องเผชิญแรงกดดันตามหลังการเปิดโปงแฟ้มลับสะเทือนโลก “ปานาปา เปเปอร์ส”
อย่างไรก็ตาม นายคาเมรอนให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ไอทีวีว่าเขาได้ขายหุ้นในกองทุนหนึ่งในบาฮามาสไปแล้วเมื่อปี 2010 ก่อนที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ทำเนียบนายกรัฐมนตรีอังกฤษต้องออกถ้อยแถลงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวถึง 4 รอบในช่วงสัปดาห์นี้ ตามหลังการเผยแพร่เอกสารรั่วไหล “ปานาปา เปเปอร์ส” เมื่อวันอาทิตย์(3 เม.ย.) ซึ่งหลุดจากฐานข้อมูลของ “มอสแซก ฟอนเซกา” บริษัทกฎหมายระหว่างประเทศอันดับ 4 ของโลกที่มีฐานในปานามา และเปิดโปงสารพัดวิธีการที่มหาเศรษฐีและผู้มีอิทธิพลแสวงหาประโยชน์จากกลไกภาษีลับต่างแดน
“เราถือครองกองทรัสต์เพื่อการลงทุนแบลร์มอร์ 5,000 หน่วย แต่เราได้ขายออกไปแล้วในเดือนมกราคม 2010 มูลค่าราวๆ 30,000 ปอนด์” คาเมรอนกล่าว “ผมขายมันทั้งหมดในปี 2010 เพราะว่าผมกำลังจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมไม่ต้องการให้คนอื่นๆ พูดว่าผมมีวาระอื่นซ่อนอยู่ หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน”
นายกรัฐมนตรีรายนี้เผยว่าเขาซื้อกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในปี 1997 แต่ยืนยันว่าเขาเสียภาษีเงินได้จากเงินปันผลจากหน่วยลงทุนดังกล่าว
เดิมทีทำเนียบนายกรัฐมนตรีออกมาปฏิเสธเรื่องราวนี้ว่าเป็นประเด็นส่วนตัวในวันจันทร์ (4 เม.ย.) ก่อนบอกว่าคาเมรอนไม่มีกองทุนในต่างแดน ทว่าต่อมาก็พูดอีกอย่างว่าเขา ภรรยา และลูกๆ ไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ จากกองทุนในต่างประเทศ
จากนั้นทำเนียบนายกรัฐมนตรีอังกฤษก็ออกมาระบุอีกรอบว่า นายคาเมรอนจะไม่รับผลประโยชน์ใดๆ จากกองทุนต่างๆ ในอนาคต
นายคาเมรอนถูกกดดันอย่างหนักจากพรรคเลเบอร์ พรรคฝ่ายค้านหลักและสื่อมวลชนในสัปดาห์นี้ ให้ออกมาชี้แจงขอบเขตความเกี่ยวข้องระหว่างเขากับกองทุนในต่างแดน
ทั้งนี้ นายเอียน บิดาของคาเมรอน เป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น เสียชีวิตในปี 2010 หรือ 4 เดือนหลังจากลูกชายของเขาก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี