นับเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความอับอายให้แก่มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ อยู่ไม่น้อย เมื่อกองทัพรัฐบาลซีเรียที่ได้รับความช่วยเหลือด้วยการถล่มโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วงจากรัสเซีย สามารถบุกเข้าตีเมืองโบราณ “พัลไมรา” กลับคืนจากกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้สำเร็จเมื่อวันอาทิตย์ (27 มี.ค.) พร้อมลั่นวาจาว่า จะรุกคืบต่อไปยังที่มั่นอื่น ๆ ของพวกนักรบญิฮาดกลุ่มนี้ โดยประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ได้ทีคุยโขมงว่า นี่คือ ชัยชนะครั้งสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกองทัพซีเรียกับพันธมิตร และในทางตรงกันข้าม ก็แสดงให้เห็นว่า กลุ่มที่นำโดยสหรัฐฯ ไม่มีความจริงจังในการปราบปรามผู้ก่อการร้าย
การสูญเสียพัลไมราถือเป็นความพ่ายแพ้ในเชิงยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ของไอเอส ซึ่งยึดดินแดนกว้างขวางในอิรัก และ ซีเรีย และประกาศจัดตั้ง “รัฐคอลีฟะห์” ขึ้นเมื่อปี 2014
ก่อนหน้านี้ เพียง 3 เดือน กองทัพอิรักสามารถกอบกู้เมืองรามาดี เมืองเอกของจังหวัดอันบาร์ กลับคืนมาจากพวกไอเอสได้ ขณะที่นักรบญิฮาดยังสูญเสียดินแดนอีกหลายจุดที่เคยยึดไว้ เช่น เมืองติกริต ในอิรัก และ อัล-ชาดาดี ในซีเรีย
กองทัพซีเรียประกาศว่า พัลไมราจะเป็น “จุดเริ่มต้น” ของปฏิบัติการรุกคืบเพื่อยึดคืนเมืองสำคัญอื่น ๆ เช่น ร็อกเกาะห์ และ เดอีร์เอซซอร์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกคนละฟากฝั่งทะเลทราย
สื่อทางการซีเรียรายงานเมื่อวันจันทร์ (28) ว่า สนามบินทหารที่พัลไมราสามารถเปิดให้เครื่องบินขึ้นและลงจอดได้แล้ว หลังกองทัพฝ่ายรัฐบาลได้ขับไล่นักรบไอเอสออกไปจากพื้นที่จนหมด
“เวลานี้ทั่วโลกต่างเห็นตรงกันว่า ไอเอสต้องถูกปราบลงให้ได้ การยึดคืนพัลไมราจึงถือเป็นความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ของพวกนักรบญิฮาด และขณะเดียวกัน ก็คือ ชัยชนะทางยุทธศาสตร์ของ อัสซาด และ ปูติน” ฟาวาซ เกอร์เกส ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางจากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งลอนดอน (London School of Economics) กล่าว
“เหตุการณ์นี้ยิ่งสนับสนุนคำกล่าวอ้างของ อัสซาด ที่ว่า ซีเรียก็คือปราการป้องกันไอเอส”
บัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่กรุงอัมมานของจอร์แดน ว่า ตนรู้สึก “มีกำลังใจ” ที่กองทัพซีเรียสามารถขับไล่ไอเอสออกไปจากพัลไมราได้สำเร็จ และช่วยปกป้องโบราณสถานอันทรงคุณค่าไม่ให้ถูกทำลายมากไปกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียกลับแสดงความเป็นห่วงว่า ทหาร อัสซาด อาจฉวยโอกาสช่วงที่มีการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงเข้ายึดดินแดนคืน
“ผมเกรงว่า ช่วงเวลาหยุดยิงจะเป็นโอกาสให้ฝ่ายรัฐบาลสามารถยึดดินแดนส่วนที่เหลือ โดยอ้างว่าเข้าไปปลดปล่อยเมืองเหล่านั้นจากพวกไอเอส และ อัล-นุสรา” ริอาด นัสซาน อาฆา หนึ่งในคณะกรรมการเจรจาระดับสูงของฝ่ายกบฏซีเรีย ให้สัมภาษณ์ต่อรอยเตอร์ทางโทรศัพท์
ข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ถือเป็นการหยุดพักความรุนแรงอย่างจริงจังครั้งแรกในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองซีเรียปะทุขึ้นในเดือน มี.ค. ปี 2011 และยังติดตามมาด้วยการรื้อฟื้นเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลซีเรียและคู่ขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงยุติการสู้รบนี้ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงไอเอส และ อัล นุสรา-ฟรอนท์ ซึ่งเป็นเครือข่ายอัลกออิดะห์
การได้เมืองพัลไมราคืนถือเป็นรางวัลใหญ่สำหรับกองทัพอัสซาด เนื่องจากเมืองนี้ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่จะสามารถควบคุมพื้นที่ทะเลทรายกว้างขวาง เรื่อยไปจนจรดพรมแดนอิรัก
ศูนย์สังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรีย ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงลอนดอน ระบุว่า ปฏิบัติการกอบกู้พัลไมรา ทำให้นักรบไอเอสถูกสังหารไปอย่างน้อย 400 คน ขณะที่กองทัพรัฐบาลซีเรียและกลุ่มติดอาวุธพันธมิตรสูญเสียกำลังพลไปเพียง 188 นาย
“นี่เป็นการทำสงครามครั้งเดียวที่ไอเอสสูญเสียมากที่สุดตั้งแต่พวกเขาก่อตั้งกลุ่มขึ้นมาเมื่อปี 2013” รามี อับเดลราห์มาน ผู้อำนวยการศูนย์สังเกตการณ์ฯ บอกกับเอเอฟพี
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ความสำเร็จในการยึดคืนพัลไมราจะช่วยให้ดามัสกัสมีอำนาจต่อรองมากยิ่งขึ้นในการเจรจาสันติภาพที่นครเจนีวา เพราะเท่ากับย้ำเตือนให้มหาอำนาจทั้งหลายต้องยอมรับว่า ซีเรียคือหุ้นส่วนสำคัญในการทำสงครามกวาดล้างไอเอส
สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรได้ส่งเครื่องบินเข้าไปโจมตีฐานที่มั่นของไอเอสในซีเรียและอิรักมานานกว่า 1 ปี และยืนกรานมาโดยตลอดว่าจะไม่ร่วมมือกับรัฐบาลอัสซาด
บาชาร์ จาฟารี ผู้แทนเจรจาของซีเรีย ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ อัล-มายาดีน ของเลบานอน ว่า ถึงเวลาแล้วที่มหาอำนาจตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ต้องรู้จักเอาอย่างมอสโกในการทำงานร่วมกับซีเรีย
“เรายินดีสร้างกลุ่มพันธมิตรนานาชาติขึ้นมาสกัดกั้นลัทธิก่อการร้าย แต่รัฐบาลซีเรียจะต้องมีส่วนร่วม” เขากล่าว
การที่รัสเซียส่งทหารเข้าแทรกแซงสงครามซีเรียเมื่อเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว ทำให้ดามัสกัสพลิกกลับมาเป็นฝ่ายรุกไล่พวกกบฏ และแม้ว่ามอสโกจะประกาศถอนทหารเกือบทั้งหมดออกจากซีเรียเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน แต่เครื่องบินขับไล่และเฮลิคอปเตอร์ของแดนหมีขาวก็ยังช่วยทิ้งระเบิดสนับสนุนทหารซีเรีย จนสามารถกู้เมืองพัลไมรากลับคืนมาได้
มอสโกยังอาสาจะช่วยป้องกันและทำลายทุ่นระเบิดที่พวกไอเอสฝังไว้ในเมืองพัลไมรา และยืนยันว่ากองทัพอากาศหมีขาวจะยังช่วยหนุนภารกิจของกองกำลังซีเรียต่อไป
ซากโบราณสถานในเมืองพัลไมราถูกพวกไอเอสระเบิดทำลายไปหลายแห่งในช่วงปีที่แล้ว ขณะที่สถานีโทรทัศน์แห่งชาติซีเรียก็ได้เผยแพร่ภาพโบราณวัตถุและรูปปั้นภายในพิพิธภัณฑ์พัลไมราที่ถูกทุบทำลายยับเยิน
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า นักรบไอเอสใช้การทำลายโบราณสถานเพื่อเป็นสื่อโฆษณาหาแนวร่วมใหม่ๆ และยังนำโบราณวัตถุจำนวนมากไปขายในตลาดมืด เพื่อเอาเงินมาเป็นทุนก่อตั้งรัฐอิสลามที่ปกครองโดยระบอบคอลีฟะห์
ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีซึ่งอยู่ที่เมืองพัลไมรารายงานว่า แม้ซากโบราณสถานสำคัญๆ เช่น วิหารเบล (Temple of Bel) และประตูชัยพัลไมราที่สร้างขึ้นในช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาล จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ในภาพรวมถือว่าเมืองมรดกโลกแห่งนี้ยังไม่ถูกทำลายราบคาบลงเสียทีเดียว
“เราคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างคงถูกทำลายไม่เหลือ แต่ภูมิทัศน์โดยรวมก็ยังดีเหมือนเดิม” มามูน อับดุลการีม ผู้รับผิดชอบด้านโบราณสถานของซีเรีย ให้สัมภาษณ์ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าน่าจะสามารถบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่ที่ถูกทำลายไปได้ภายใน 5 ปี
พัลไมราซึ่งแปลว่า “เมืองแห่งต้นปาล์ม” เป็นโอเอซิสที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงดามัสกัสไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 210 กิโลเมตร และได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไข่มุกแห่งทะเลทราย” เมืองแห่งนี้เริ่มมีชื่อปรากฏในช่วงศตวรรษที่ 19 ก่อนคริสตกาล โดยเป็นจุดแวะพักของกองคาราวานที่ใช้เส้นทางสายไหม และผู้ที่เดินทางไปมาระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ป้อมปราการและซากโบราณสถานภายในเมืองแห่งนี้ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก และเคยมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมปีละราวๆ 150,000 คน ก่อนที่สงครามซีเรียจะปะทุขึ้น