เอเจนซีส์ / MGR online – กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชื่อก้อง “ฮิวแมน ไรต์ส วอทช์” ออกโรงประณามกลุ่มติดอาวุธตอลิบาน กรณีนำเด็กผู้ชายและเยาวชนชายเข้าร่วมเป็นกำลังรบของกลุ่มในหลายพื้นที่ทั่วอัฟกานิสถาน
ฮิวแมน ไรต์ส วอทช์ ซึ่งมีฐานอยู่ในมหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานฉบับล่าสุดในวันพุธ (17 ก.พ.) โดยอ้างว่า ทางกลุ่มมีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่า กลุ่มตอลิบานได้ทำการฝึกการต่อสู้และนำเด็กชายรวมถึงเยาวชนชายเข้าร่วมเป็นนักรบของกลุ่มเพื่อทำการต่อสู้ในสงครามนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2015 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ก็เพื่อรองรับการขยายตัวของปฏิบัติการทางทหารของกลุ่มตอลิบาน ที่ยกระดับการต่อสู้กับทางกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลอัฟกัน
รายงานฉบับล่าสุดนี้ของทางฮิวแมน ไรต์ส วอทช์อ้างว่า มีเด็กชายที่มีอายุเพียง 6 ปีที่ถูกทางกลุ่มตอลิบานนำตัวเข้าสู่กระบวนการฝึกและบ่มเพาะนักรบรุ่นใหม่ ผ่านศูนย์ฝึกพิเศษของกลุ่มตอลิบานในจังหวัดคุนดุซทางภาคเหนือของอัฟกานิสถาน โดยพบว่ามีเด็กและเยาวชนชายที่มีอายุระหว่าง 13 – 17 ปีถูกนำตัวมาฝึกเพื่อเป็นนักรบตอลิบานสายเลือดใหม่เป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ทางฮิวแมน ไรต์ส วอทช์ยอมรับว่า ไม่สามารถระบุจำนวนเด็กและเยาวชนชายชาวอัฟกัน ที่ถูกฝึกโดยกลุ่มตอลิบานได้แน่ชัด เนื่องจากทีมผู้จัดทำรายงานอาศัยเพียงข้อมูลที่มาจากกลุ่มเคลื่อนไหวท้องถิ่นที่ได้สัมภาษณ์บางครอบครัวที่มีลูกหลานถูกดึงตัวเข้าร่วมกับกลุ่มตอลิบานเท่านั้น จากนั้นทางทีมงานของฮิวแมน ไรต์ส วอทช์จึงนำข้อมูลที่ได้จากภาคสนามมาสอบถามความคิดเห็นเพิ่มเติมจากบรรดานักวิเคราะห์ทางการเมืองและภาคประชาสังคมในสหรัฐฯ รวมถึงแหล่งข่าวในองค์การสหประชาชาติอีกทอดหนึ่ง
ด้านแพทริเซีย กอสส์แมน นักวิจัยอาวุโสของฮิวแมน ไรต์ส วอทช์ด้านอัฟกานิสถาน ประณามยุทธศาสตร์ล่าสุดของกลุ่มตอลิบานในการดึงเด็กและเยาวชนชายเข้าสู่สงครามว่า เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนโหดร้าย และว่า ทางกลุ่มตอลิบานควรยุติกระบวนการนี้และปล่อยให้เด็กๆ ได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือ หรือเล่นสนุกตามวัยปกติ
ทั้งนี้ อัฟกานิสถานถูกรุมเร้าด้วยภาวะความไม่มั่นคงและภัยคุกคามจากกลุ่มตอลิบาน มายาวนานเกินกว่า 14 ปี นับตั้งแต่ที่สหรัฐฯและชาติพันธมิตรเปิดปฏิบัติการทางทหารเพื่อกวาดล้างกลุ่มตอลิบาน ในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเมื่อปี 2001 จนถึงการถอนตัวของกองกำลังนานาชาติเมื่อสิ้นปี 2014 ซึ่งทำให้ทางกลุ่มตอลิบานกลับมาแผ่ขยายอิทธิพลของตนใหม่อีกครั้ง และกลายเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อกระบวนการเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลอัฟกันและสหรัฐฯ
