เอเอฟพี - ทางการออสเตรเลียระบุจะพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจให้ความช่วยเหลือแก่เด็กกำพร้า 5 คน ซึ่งเป็นบุตรของสมาชิกกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) กับหญิงชาวซิดนีย์ หลังมีรายงานว่าบิดามารดาของเด็กได้เสียชีวิตแล้วในซีเรีย
รัฐบาลจิงโจ้แสดงความเป็นห่วงว่า เด็กๆ กลุ่มนี้อาจถูกปลูกฝังแนวคิดสุดโต่งจากพ่อแม่ และกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติในอนาคต
หนังสือพิมพ์ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮรัลด์ และสื่ออีกหลายสำนักรายงานว่า ทารา เน็ตเติลตัน ซึ่งเป็นภรรยาของ คอลิด ชาร์รูฟ นักรบไอเอสชาวออสเตรเลีย ซึ่งเคยตกเป็นข่าวพาดหัวทั่วโลกเมื่อปี 2014 จากการโพสต์รูปบุตรชายวัย 7 ขวบกำลัง “หิ้วศีรษะ” เชลยที่ถูกตัดคอลงทวิตเตอร์ ได้เสียชีวิตแล้วเนื่องจากไส้ติ่งอักเสบ หรือไม่ก็โรคไต
สำหรับตัวชาร์รูฟนั้น หลายฝ่ายเชื่อว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วพร้อมกับ โมฮาเหม็ด เอโลมาร์ เพื่อนนักรบไอเอสชาวออสซี่ หลังถูกโจมตีด้วยโดรนทิ้งระเบิดในอิรักเมื่อปี 2015
ชาร์ลส วอเตอร์สตรีท ทนายความของครอบครัวนี้ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า บุตรทั้ง 5 คนของชาร์รูฟ และเน็ตเติลตัน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 5-14 ปี ยังคงติดอยู่ในซีเรีย ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่มีการเปิดเผย และเด็กๆ เหล่านี้ “กำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง”
พี่สาวคนโตวัย 14 ปีซึ่งสื่อออสเตรเลียระบุว่าชื่อ “ซัยนับ” เพิ่งจะคลอดลูกของ เอโลมาร์ ไปเมื่อ 2 เดือนก่อน และยังต้องดูแลน้องๆ ด้วย
“พวกเขากำลังเผชิญอันตรายใหญ่หลวง เราสามารถติดต่อเด็กกลุ่มนี้ได้ จึงทราบว่าย่านที่พวกเขาอาศัยอยู่ถูกทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านก็กำลังอดอยาก” ทนายความที่ซิดนีย์ กล่าว
เด็กๆ ยังบอกกับคุณยาย คาเรน เน็ตเติลตัน ว่าพวกเขา “ต้องการออกจากซีเรีย”
“พ่อแม่ของพวกเขาเสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาจึงตกอยู่ท่ามกลางขุมนรก และถึงอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นชาวออสเตรเลีย เราจึงควรทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเด็กๆ กลุ่มนี้ออกมาให้ได้” ทนายกล่าว
สื่อแดนจิงโจ้ระบุว่า เน็ตเติลตันอาจเสียชีวิตไปตั้งแต่ปีที่แล้ว และแม้แต่คาเรน ผู้เป็นแม่ก็เพิ่งจะทราบข่าวเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
เด็กๆ กลุ่มนี้เดินทางไปซีเรียพร้อมกับมารดาเมื่อปี 2014 ขณะที่พ่อของพวกเขาออกจากออสเตรเลียไปตั้งแต่ปี 2013
ปีเตอร์ ดัตตัน รัฐมนตรีกระทรวงคนเข้าเมืองออสเตรเลีย ระบุว่า ตนยังไม่สามารถยืนยันว่าเน็ตเติลตันเสียชีวิตแล้วจริงหรือไม่ แต่พลเมืองออสเตรเลียทุกคนจะได้รับความช่วยเหลือจากสถานกงสุล ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม
อย่างไรก็ดี ประสบการณ์ที่เด็กกลุ่มนี้ได้รับขณะอยู่ในซีเรียเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่อาจมองข้าม และต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าสมควรนำตัวพวกเขากลับมาหรือไม่
“รัฐบาลจะต้องพิจารณาเงื่อนไขในการนำตัวพลเมืองกลับประเทศอย่างรอบคอบที่สุด” เขาให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุ 2GB
“พ่อแม่ที่มีจิตใจอันตราย และบ้าคลั่งพอที่จะนำลูกเล็กๆ เข้าไปอาศัยอยู่ในพื้นที่แบบนั้น ย่อมจะสร้างรอยแผลเป็นให้กับเด็กไปชั่วชีวิต... เป้าหมายสูงสุดของรัฐบาลคือการปกป้องสาธารณชนให้ปลอดภัย และเราคงต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไปว่าเด็กกลุ่มนี้ผ่านอะไรมาบ้าง ได้พบเจออะไรมาบ้าง และพวกเขาจะเติบโตไปเป็นภัยแก่สังคมหรือไม่”
ดันแคน ลูอิส ผู้อำนวยการองค์การข่าวกรองความมั่นคงแห่งออสเตรเลีย ได้แจ้งต่อรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จนถึงขณะนี้มีชาวออสเตรเลียเสียชีวิตจากสงครามในอิรักและซีเรียแล้ว 49 ราย และอีก 110 รายกำลังต่อสู้ หรือทำงานให้กับกลุ่มติดอาวุธ
นอกจากนี้ ยังมีพลเมืองในแดนจิงโจ้อีกราว 190 คนที่ระดมเงินทุนสนับสนุนไอเอส หรือเตรียมที่จะเดินทางไปสู้รบในตะวันออกกลาง