เอเจนซีส์ - ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แถลงคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวันพุธ (27 ม.ค.) พร้อมระบุเศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัวช่วงปลายปีที่แล้ว รวมทั้งต้องจับตาพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกอย่างใกล้ชิด บ่งชี้ว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) รับทราบผลกระทบจากความปั่นป่วนผันผวนในตลาด แต่ไม่พร้อมยกเลิกแผนคุมเข้มนโยบายการเงินในปีนี้ และยังคงเปิดช่องสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนมีนาคมที่จะถึง
ในคำแถลงที่ออกมาจากการประชุมเอฟโอเอ็มซี 2 วัน (26-27 ม.ค.) คราวนี้ ซึ่งเป็นหนแรกภายหลังการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งประวัติศาสตร์เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ระบุให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย “เฟเดอรัล ฟันด์ เรต” เอาไว้ที่เดิมในระดับ 0.25-0.50%
คำแถลงคราวนี้ได้ตัดคำว่า “เชื่อมั่นอย่างมีเหตุผล” เกี่ยวกับทิศทางอัตราเงินเฟ้อ ที่ได้เคยใช้ในคำแถลงภายหลังการประชุมครั้งที่แล้ว รวมทั้งกล่าวเป็นนัยว่า ความปั่นป่วนในตลาดการเงินโลกส่วนหนึ่งมาจากแผนคุมเข้มนโยบายการเงินของอเมริกา
“คณะกรรมการจับตาพัฒนาการในระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกอย่างใกล้ชิด และกำลังประเมินผลต่อตลาดแรงงานและภาวะเงินเฟ้อ รวมทั้งดุลความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ” คำแถลงของเอฟโอเอ็มซีระบุ
แต่ถึงแม้คำแถลงของเฟดแสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตน้อยลงกว่าเดือนที่แล้วเล็กน้อย ก็ยังคงตั้งข้อสังเกตว่าการจ้างงานและภาคที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ สามารถฝ่ากระแสเศรษฐกิจชะลอตัวช่วงปลายปีที่แล้วและเติบโตอย่างแข็งแกร่งก็ตาม
นอกจากนั้น เฟดยังแสดงความเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อที่อ่อนลงชั่วคราวจากภาวะราคาน้ำมันตกฮวบ จะดีดกลับจนขึ้นไปสู่เป้าหมาย 2% ในระยะกลาง
คำแถลงกล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตด้วยอัตราพอประมาณและตลาดแรงงานแข็งแกร่งขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าแม้เฟดมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โลกแต่ก็เริ่มลดลง และไม่ปิดโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยรอบสองในเดือนมีนาคม
ทางด้าน ฮาร์ม แบนด์โฮลซ์ นักเศรษฐศาสตร์ของยูนิเครดิตในนิวยอร์ก ตีความว่า สมาชิกหลายคนของเอฟโอเอ็มซีมีความรู้สึกวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์นอกประเทศ
ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมานั้น เฟดเพิกเฉยต่อการชะลอตัวในจีน ญี่ปุ่น และยุโรป และประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี พร้อมคาดการณ์เศรษฐกิจอเมริกาเติบโตมั่นคง บ่งชี้ว่าอาจมีการขึ้นดอกเบี้ยถึง 4 รอบภายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจล่าสุดที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ภายหลังคำแถลงของเฟดเมื่อวันพุธ พบว่าแบงก์ชั้นนำในวอลล์สตรีทคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 3 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ ขณะที่นักลงทุนไม่น้อยคิดว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวและขึ้น 0.25% เท่านั้น
ภายหลังเอฟโอเอ็มซีเสร็จสิ้นการประชุมและออกคำแถลงในวันพุธ ปรากฏว่าได้ส่งผลให้ราคาหุ้นในสหรัฐฯ ตกลงทันที เช่น ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดิ่งลง 223 จุด หรือ 1.4% และดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 0.6% จากที่อยู่ในแดนบวกอย่างต่อเนื่องก่อนเฟดออกคำแถลง ขณะที่ดอลลาร์อ่อนลงอยู่ที่ 1.901 ดอลลาร์เมื่อเทียบยูโร และแข็งขึ้นเมื่อเทียบเยนโดยอยู่ที่ 118.76 เยน
แซม สโตวัลล์ นักยุทธศาสตร์ด้านหลักทรัพย์ในอเมริกาของเอสแอนด์พี แคปปิตอล ไอคิว อธิบายว่า เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังที่เฟดไม่ส่งสัญญาณอันชัดเจนว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงที่เหลือของปีนี้