เอพี/เอเจนซีส์ - ในวันนี้ (26 ม.ค.) สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโก เสด็จพระราชดำเนินด้วยเครื่องบินออกจากท่าอากาศยานในกรุงโตเกียวมุ่งหน้าสู่ฟิลิปปินส์ในการเสด็จเยือนเพื่อทรงเยี่ยมเคารพสุสานทหารกล้าของญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากนักเคลื่อนไหวต้องการให้ทั้งสองพระองค์เปิดโอกาสให้อดีตหญิงผ่อนคลายอารมณ์ชาวฟิลิปปินส์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าพบ
เอพีรายงานว่า ในการเสด็จเยือนฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโก เป็นเวลา 4 วัน ทั้งสองพระองค์ทรงมีกำหนดการณ์ที่จะทรงเยี่ยมสุสานทหารกล้าของทั้งญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เอพีรายงานต่อว่า ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของทั้งสองประเทศในช่วงเวลา 70 ปีหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้นั้นมีความกระชับแน่นมากขึ้นตามลำดับ โดยทางแดนปลาดิบกลายเป็นประเทศผู้บริจาครายใหญ่ของฟิลิปปินส์ และทั้งสองชาติมีความร่วมมือทางการทหารมากขึ้นจากกรณีความขัดแย้งในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออกที่จีนประกาศอ้างสิทธิ์ครอบครอง
นอกจากนี้ เอพีชี้ว่าการเสด็จเยือนล่าสุดขององค์พระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่นเกิดขึ้นหลังจากในปีที่ผ่านมาที่ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จเยือนสนามรบปาเลา (Palau) ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และการเสด็จเยือนสนามรบไซปัน (Saipan) ในปี 2005
และนอกจากนี้ยังมีรายงานว่าในปี 1944 สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะยังทรงสวดภาวนาให้กับทหารกล้าญี่ปุ่นและอเมริกันที่เสียชีวิตในสงครามที่อิโวจิมา (Iwo Jima) ญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม การเสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศในฐานะทูตสันติภาพของญี่ปุ่นเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับบรรดาชาติที่เคยอริในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ใช่จะราบรื่น โดยอัลญะซีเราะฮ์ สื่อกาตาร์ รายงานเมื่อวานนี้ (25) ว่า บรรดานักเคลื่อนไหวได้กดดันเรียกร้องให้สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโก มีพระราชานุญาตให้บรรดาอดีตหญิงผ่อนคลายอารมณ์สัญชาติฟิลิปปินส์ให้กับกองทัพอาทิตย์อุทัยช่วงสมัยสงครามโลกที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าเฝ้าฯ
สื่อกาตาร์รายงานเพิ่มเติมว่า ในเดือนธันวาคม 2015 รัฐบาลญี่ปุ่นได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลเกาหลีใต้ยอมจ่ายค่าชดเชยจำนวน 8.7 ล้านดอลลาร์ให้กับอดีตหญิงผ่อนคลายอารมณ์เกาหลีที่ตกเป็นทาสของกองทัพญี่ปุ่นในสมัยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ทว่ากลับพบว่ายังไม่มีข้อตกลงเช่นนี้เกิดขึ้นกับฟิลิปปินส์ และอดีตหญิงผ่อนคลายอารมณ์ชาวฟิลิปปินส์แต่อย่างใด
โดยเอ็มมี เด เฆซุส (Emmi de Jesus) สมาชิกรัฐสภาฟิลิปปนส์และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ในการเสด็จเยือนของประมุขญี่ปุ่นครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีหากพระองค์จะทรงประทานพระราชอนุญาตให้เหยื่อที่ถูกกระทำเหล่าเข้าเฝ้าเพื่อให้เธอเหล่านั้นได้เล่าเรื่องถวายพระองค์จากประสบการณ์ที่พวกเธอต้องเผชิญในอดีต “สมเด็จพระจักรพรรดิทรงมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ และทรงสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้การเรียกร้องของหญิงผู้โชคร้ายเหล่านั้นเกิดขึ้นได้จริง” เด เฆซุสให้ความเห็น
ก่อนหน้านี้ในวันศุกร์ (22) บรรดาอดีตหญิงผ่อนคลายอารมณ์ชาวฟิลิปปินส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในวัยราว 80 ปีได้เปิดเผยข้อเรียกร้องกับสื่อว่า พวกเธอต้องการคำขออภัยอย่างเป็นทางการพร้อมกับค่าชดเชยจากรัฐบาลญี่ปุ่น รวมไปถึงให้บันทึกเรื่องราวของพวกเธอไว้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ
นาร์ซิซา คลาเวเรีย (Narcisa Claveria) วัย 85 ปี หนึ่งในเหยื่อหญิงผ่อนคลายอารมณ์ได้กล่าวในการแถลงผ่านสื่อกับอัลญะซีเราะฮ์ว่า “เรายังไม่ได้รับความยุติธรรม เราสูญเสียไปมากรวมไปถึงเกียรติยศความเป็นมนุษย์ของพวกเรา”
สื่อกาตาร์รายงานเพิ่มเติมต่อว่า นับตั้งแต่ต้นยุค 90 มีอดีตหญิงผ่อนคลายอารมณ์ชาวฟิลิปปินส์จำนวน 200 คนได้เปิดเผยตัวสู่สาธารณะ และหลังจากนั้นดูเหมือนจำนวนจะลดลงตามลำดับ แต่ยังคงมีจำนวนเหลือ 70 คนล่าสุด ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุราว 85 ปี หรือช่วงปลายในวัย 80
ทั้งนี้ จากข้อมูลของตัวแทนองค์กรเรียกร้องสิทธิให้กับอดีตหญิงผ่อนคลายอารมณ์ชาวฟิลิปปินส์ ไลลา พิลิปินา (Lila Pilipina) ตัวแทนของหน่วยงานเปิดเผยว่า มีจำนวนหญิงชาวฟิลิปปินส์อย่างต่ำ 1,000 คนถูกย่ำยีโดยทหารกองทัพญี่ปุ่น และทั่วทั้งเอเชียเชื่อว่ามีหญิงสาวจำนวนมากถึง 200,000 คนตกเป็นเหยื่อทาสกามารมณ์กองทัพแดนอาทิตย์อุทัยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากนี้ อัลญะซีเราะห์รายงานเพิ่มเติมว่า เหยื่อหญิงผ่อนคลายอารมณ์ต่างได้กล่าวโทษรัฐบาลฟิลิปปินส์ว่า มีส่วนที่ไม่ช่วยทำให้พวกเธอได้รับความเป็นธรรมจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยกล่าวหาประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เบนิกโน อากีโน ที่ 3 เอาใจเข้าข้างโตเกียว โดยพบว่าญี่ปุ่นเป็นชาติอันดับแรกในด้านการลงทุนและความช่วยเหลือทางการเงินให้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์สูงสุด และในปี 2014 มูลค่าทางการค้าระหว่างสองชาติแตะเกือบ 20 พันล้านดอลลาร์