เอเจนซีส์ - “โอบามา” ใช้การแถลงนโยบายประจำปีครั้งสุดท้ายของเขาแขวะจุดยืนต่อต้านมุสลิมของ “ทรัมป์” พร้อมยืนยันว่าแม้ “ไอเอส” อันตราย แต่ไม่ได้คุกคามการคงอยู่ของอเมริกาอย่างที่รีพับลิกันพยายามตีไข่ใส่สี นอกจากนั้นยังสำทับว่า สหรัฐฯ ไม่ใช่ “ตำรวจโลก” ที่สามารถเข้าแทรกแซงทุกประเทศที่เผชิญวิกฤต และควรจดจำบทเรียนจากสงครามเวียดนาม และอิรัก
ในระหว่างการแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อรัฐสภาเป็นครั้งสุดท้ายของเขาเมื่อวันอังคาร (12 ม.ค.) ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เรียกร้องให้ผู้นำการเมืองของ 2 พรรคใหญ่ในสหรัฐฯ คือ เดโมแครต และรีพับลิกัน แก้ไขความขัดแย้งตึงเครียดระหว่างกัน จนทำให้การดำเนินงานของฝ่ายบริหารและรัฐสภาสะดุดติดขัด โดยเขากล่าวว่า ในขณะที่ดำรงตำแหน่งนั้นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เขาเสียใจก็คือ ความเกลียดชังและความไม่ไว้วางใจระหว่างพรรคทั้ง 2 ยิ่งเลวร้ายลงมากกว่าจะดีขึ้น
โอบามายังวิจารณ์ผู้สมัครชิงทำเนียบขาวสมัยต่อไป ซึ่งแม้ไม่ได้เอ่ยชื่อแต่เข้าใจกันทั่วไปว่าหมายถึงโดนัลด์ ทรัมป์ ให้งดใช้โวหารต่อต้านอิสลาม ที่เป็นคำพูดซึ่งทรยศต่อค่านิยมอเมริกัน
เขากล่าวว่า การที่นักการเมืองจาบจ้วงคนมุสลิมไม่ได้ทำให้อเมริกาปลอดภัยขึ้น แต่กลับทำลายภาพลักษณ์ของอเมริกาในสายตาชาวโลก รวมทั้งทำให้การรักษาความปลอดภัยทำได้ยากขึ้น
ด้านทรัมป์ อภิมหาเศรษฐีนักธุรกิจที่ก่อนหน้านี้ก่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั่วโลกจากการเรียกร้องให้อเมริกาห้ามชาวมุสลิมเดินทางเข้าประเทศนั้น ทวีตตอบโต้ประมุขทำเนียบขาวคนปัจจุบันทันทีว่า การแถลงนโยบายประจำปีครั้งนี้ “ทั้งน่าเบื่อ เชื่องช้า และเฉื่อยชา จนแทบทนดูต่อไปไม่ไหว”
โอบามายังพยายามยืนยันการมองโลกแง่ดีถึง “อนาคตอันสดใสของอเมริกา” ไม่คล้อยตามการป้ายสีของผู้สมัครรีพับลิกัน โดยกล่าวว่า คนที่บอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังตกต่ำนั้น “โกหก” และแม้ยอมรับว่า อัลกออิดะห์ และกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) คุกคามโดยตรงต่ออเมริกันชน แต่ยืนยันว่าไม่ถึงขั้นคุกคามการคงอยู่ของอเมริกา
ทว่า สมาชิกพรรครีพับลิกัน อาทิ พอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยังคงออกมายืนยันว่า ยุทธศาสตร์การปราบไอเอสของประธานาธิบดีคนปัจจุบันบกพร่องและไม่เพียงพอ
การแถลงนโยบายประจำปีครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในโอกาสสุดท้ายของโอบามา ในการดึงดูดความสนใจของชาวอเมริกันนับล้านๆ คน ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึง และผู้นำใหม่จะเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม ศกหน้า
ในการปราศรัยคราวนี้ โอบามายังพยายามกล่าวถึงประเด็นซึ่งน่าจะประนีประนอมกับรีพับลิกันในคองเกรสได้ เป็นต้นว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญา การค้า และการลดความยากจน
โอบามาเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาให้สัตยาบันรับรองข้อตกลงการค้าในแปซิฟิก (ทีพีพี) ผลักดันกฎหมายควบคุมอาวุธปืน และยกเลิกการคว่ำบาตรคิวบา เขายังส่งเสริมการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมอบหมายให้รองประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่ลูกชายเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเมื่อปีที่แล้ว เป็นผู้นำสนับสนุนโครงการค้นคว้าวิจัยเพื่อหาทางรักษาโรคมะเร็ง
เขาสำทับว่า อเมริกาไม่สามารถรับบท “ตำรวจโลก” เข้าอุ้มและฟื้นฟูทุกประเทศที่เผชิญวิกฤต แต่ควรเรียนรู้บทเรียนจากสงครามเวียดนาม และสงครามอิรัก
เป็นที่น่าสังเกตว่า การแถลงนโยบายประจำปีครั้งนี้ไม่มีการพาดพิงถึงความตึงเครียดด้านเชื้อชาติที่ปะทุดุเดือดในยุคสมัยของประธานาธิบผิวสีคนแรกของอเมริกาผู้นี้ อีกทั้งยังอ้างอิงถึงการควบคุมอาวุธปืนและปัญหาการใช้อาวุธชนิดนี้ก่อความรุนแรงในสังคมอย่างผิวเผินเท่านั้น
นอกจากนั้น แม้โอบามาต้องการให้เดโมแครตได้ครองทำเนียบขาวเพื่อสืบสานผลงานสำคัญของตนต่อไป แต่ความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายของคณะบริหารชุดปัจจุบันและความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านความมั่นคง กำลังผลักดันให้ผู้สมัครนอกคอกอย่างทรัมป์ และวุฒิสมาชิกเท็ด ครูซ กลายเป็นตัวเก็งของรีพับลิกัน ขณะที่วุฒิสมาชิก เบอร์นี แซนเดอร์ส ที่ประกาศตัวเป็น “สังคมนิยม” ก็สามารถสร้างความหนักใจให้อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน ในการหยั่งเสียงขั้นต้นเพื่อเลือกตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงทำเนียบขาว ซึ่งจะเริ่มต้นกระบวนการกันในเดือนกุมภาพันธ์นี้