เอเอฟพี - รัฐบาลเกาหลีใต้เผยในวันนี้ (11 ม.ค.) ว่า ได้มีการหารือกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเสริม “อาวุธทางยุทธศาสตร์” เพื่อป้องกันคาบสมุทรเกาหลี หลังจากที่วอชิงตันได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 มาบินอวดแสนยานุภาพข่มขวัญเกาหลีเหนือไปหมาดๆ เมื่อวันอาทิตย์ (10)
เกาหลีใต้ประกาศจุดยืนแข็งกร้าวต่อการทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเมื่อวันพุธที่แล้ว (6) โดยเรียกร้องให้ประชาคมโลกคว่ำบาตรเปียงยางให้หนักขึ้น ทั้งยังเปิด “เครื่องขยายเสียง” ตามแนวพรมแดนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลโจมตีระบอบคิม
เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 สตราโตฟอร์เทรสส์ ที่สามารถบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ถูกส่งจากฐานทัพอากาศแอนเดอร์เซนบนเกาะกวมไปยังเกาหลีใต้ เมื่อวันอาทิตย์ (10) โดยมีเครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 ของสหรัฐฯ กับเครื่องบิน เอฟ-15 ของเกาหลีใต้ บินอารักขา
บี-52 ได้บินต่ำเหนือฐานทัพอากาศโอซาน ซึ่งห่างจากพรมแดนสองเกาหลีไปทางใต้ราว 70 กิโลเมตร ก่อนจะบินกลับฐานที่เกาะกวม
กองทัพสหรัฐฯ แถลงว่า การส่ง บี-52 มาบินเหนือน่านฟ้าเกาหลีใต้ครั้งนี้ก็เพื่อแสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการเป็นพันธมิตรทางทหารกับเกาหลีใต้ และเพื่อตอบโต้การทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 4 ของเกาหลีเหนือโดยตรง
“เกาหลีใต้และสหรัฐฯ อยู่ระหว่างปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับการส่งทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์เข้ามาประจำการเพิ่มเติมบนคาบสมุทรเกาหลี” คิม มิน-ซ็อก โฆษกกระทรวงกลาโหมโสมขาว ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนที่กรุงโซล
สื่อสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ คาดการณ์ว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ที่วอชิงตันจะส่งมาเสริมเขี้ยวเล็บบนคาบสมุทรเกาหลี อาจรวมถึงเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ ยูเอสเอส โรนัลด์ เรแกน ซึ่งขณะนี้ประจำการอยู่ในญี่ปุ่น, เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน บี-2 และฝูงบินขับไล่ เอฟ-22
สหรัฐฯ มีทหารเกือบ 30,000 นายประจำการอยู่ในเกาหลีใต้ตามข้อตกลงพันธมิตรกลาโหม และยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะปกป้องโซลด้วย “ระบบคุ้มกันนิวเคลียร์” (nuclear umbrella)
เปียงยางอ้างว่า อาวุธที่นำมาทดสอบในอุโมงค์ใต้ดินเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคือ “ระเบิดไฮโดรเจนย่อส่วน” (miniaturized hydrogen bomb) ทว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยังไม่ปักใจเชื่อ พร้อมชี้ว่าผลของการระเบิดยังต่ำกว่าอานุภาพของ “อาวุธนิวเคลียร์ความร้อน” ที่สมบูรณ์แบบมากนัก
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอยู่ระหว่างหารือเพื่อประกาศมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือเพิ่มเติม หลังจากที่เคยสั่งลงโทษเปียงยางมาแล้วจากการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์และขีปนาวุธก่อนหน้านี้
นอกจากมาตรการเปิดเครื่องขยายเสียงซึ่งเจ้าหน้าที่โสมแดงเตือนว่าเป็นการยั่วยุที่จะทำให้คาบสมุทรเกาหลี “เสี่ยงเข้าสู่ภาวะสงคราม” แล้ว เกาหลีใต้ยังจำกัดจำนวนพลเมืองที่จะเดินทางไปยังนิคมอุตสาหกรรมแกซอง ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมร่วมที่อยู่เลยชายแดนเกาหลีเหนือเข้าไปไม่กี่กิโลเมตร
เช้าวันนี้ (11) กระทรวงการรวมชาติเกาหลีใต้ประกาศว่า พลเมืองโสมขาวที่ได้รับอนุญาตให้พำนักค้างคืนที่เมืองแกซองถูกปรับลดลงมาจาก 800 เหลือเพียง 650 คน “เพื่อให้มีชาวเกาหลีใต้อยู่ในเมืองแกซองให้น้อยที่สุด โดยไม่กระทบต่อกิจกรรมการผลิต” เจ้าหน้าที่กระทรวงคนหนึ่งเผย
นิคมอุตสาหกรรมแกซองก่อตั้งขึ้นในปี 2004 ภายใต้นโยบาย “ซันไชน์” ของอดีตประธานาธิบดี คิม แด-จุง แห่งเกาหลีใต้ ซึ่งต้องการฟื้นฟูความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองเกาหลี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงงานผลิตสินค้าของบริษัทโสมขาวราว 120 แห่ง และว่าจ้างแรงงานชาวเกาหลีเหนือประมาณ 53,000 คน
เขตอุตสาหกรรมร่วมแห่งนี้เป็นแหล่งดึงดูดสกุลเงินแข็งให้กับรัฐบาลเปียงยาง และช่วยลดภาระค่าจ้างแรงงานในประเทศ ในขณะที่ภาคธุรกิจเกาหลีใต้ก็ได้ประโยชน์จากแรงงานราคาถูก รวมถึงสิทธิพิเศษในการขอกู้เงินหรือลดหย่อนภาษีจากรัฐบาลโสมขาว
โฆษกกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้แถลงวันนี้ (11) ว่า เกาหลีเหนือเริ่มส่งทหารเข้ามาเสริมกำลังที่หน่วยป้องกันชายแดน
“ทหารชายแดนมีจำนวนเพิ่มขึ้น หลังจากที่เกาหลีเหนือทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 4 ทว่ายังไม่มีสัญญาณการยั่วยุใดๆ” โฆษกผู้นี้กล่าว
วันนี้ (11) สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของเกาหลีเหนือได้เผยแพร่ภาพหมู่ผู้นำ คิม จอง อึน กับบรรดานักวิทยาศาสตร์ คนงาน และเจ้าหน้าที่หลายร้อยคน ที่มีส่วนร่วมในการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดย คิม กล่าวชื่นชมบุคลากรของตนที่ประสบความสำเร็จในการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของรัฐโสมแดง