เอเอฟพี - ราคาน้ำมันในเอเชียเพิ่มสูงขึ้นในวันนี้ (4 ม.ค.) หลังจากผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายสำคัญอย่างซาอุดีอาระเบียตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านภายหลังความขัดแย้งจากเรื่องการประหารชีวิตนักการศาสนานิกายชีอะห์ของริยาดห์
ซาอุดีอาระเบียประกาศการตัดสินใจดังกล่าวเมื่อวานนี้ (3) หนึ่งวันหลังจากที่ผู้ประท้วงบุกรื้อค้นสถานทูตของพวกเขาในกรุงเตหะรานจากกรณีการประหารชีวิตนักการศาสนานิกายชีอะห์รายหนึ่ง
อาเดล อัล-จูแบร์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียกล่าวว่า นักการทูตอิหร่านมีเวลา 48 ชั่วโมงในการออกจากราชอาณาจักรแห่งนี้และผู้นำสูงสุกของอิหร่านกล่าวว่า ซาอุดีอาระเบียจะเผชิญกับ “ผลลัพธ์ที่จะตามมาอย่างรวดเร็ว” สำหรับการประหารชีวิตนักการศาสนารายดังกล่าว
ด้วยความกังวลถึงสถานการณ์ที่ง่ายต่อการปะทุอยู่แล้วในตะวันออกกลาง สหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้เหล่าผู้นำในภูมิภาคนี้ใช้มาตรการลดความตึงเครียด
เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น.ตามเวลาประเทศไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียตงวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 48 เซ็นต์ หรือ 1.30 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 37.52 ดอลลาร์ และสัญญาน้ำมันดิบเบรนต์งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์พุ่งขึ้น 61 เซ็นต์ หรือ 1.64 เปอร์เซ็นต์ ปิดสูงกว่าที่ 37.89 ดอลลาร์
“ราคาน้ำมันเริ่มฟื้นตัวในปีใหม่นี้ ขณะที่ตลอดเอเชียกำลังตอบสนองต่อความกังวลที่ว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางอาจกระทบต่อการส่งออกน้ำมัน” เบอร์นาร์ด โอว์ นักกลยุทธ์การตลาดจากบริษัท ไอจีมาร์เก็ตส์ ในสิงคโปร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้น แต่โอว์กล่าวว่าภาวะอุปทานน้ำมันดิบล้นตลาดทั่วโลกจะยังคงกดราคาต่อไปอีกเป็นระยะยาวกว่านี้
“หากเราไม่เห็นการส่งออกน้ำมันที่ลดน้อยลงอย่างชัดเจนจากสองประเทศนี้และกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นๆ ภาวะอุปทานล้นตลาดจะยังคงมีอยู่ต่อไป ซึ่งหมายความว่าราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อไปอีกเป็นระยะยาวกว่านี้” เขาบอกกับเอเอฟพี
ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในองค์กรประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้วได้ตัดสินใจไม่ลดระดับการส่งออกน้ำมัน