เอเอฟพี / เอเจนซีส์ / MGR online - มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 รายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายราย หลังจากมือปืนซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ “โบโกฮารัม” ก่อเหตุบุกโจมตีหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรียในวันคริสต์มาส
รายงานข่าวที่มีการเผยแพร่ในวันเสาร์ (26 ธ.ค.) ระบุว่า กลุ่มนักรบญิฮัดกลุ่มดังกล่าวได้บุกเข้าโจมตีหมู่บ้านคิมบาในรัฐบอร์โนในช่วงกลางดึกของคืนวันศุกร์ (25) ก่อนจะลงมือกราดยิงใส่ชาวบ้าน และจุดไฟเผาบ้านเรือนของประชาชนจนวอดเกือบทั้งหมู่บ้าน
จนถึงขณะนี้แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของรัฐบาลไนจีเรียยืนยันว่ามีชาวบ้านถูกสังหารไปอย่างน้อย 14 รายจากเหตุสะเทือนขวัญที่เป็นน้ำมือของกลุ่มโบโกฮารัมในครั้งนี้
ด้านมุสตาฟา คาริมเบ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครพลเรือนซึ่งถูกฝึกจากกองทัพไนจีเรียให้ทำหน้าที่เป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านออกมายอมรับว่า กองกำลังป้องกันตนเองของชาวบ้านแทบไม่มีโอกาสได้จับอาวุธต่อสู้กับกลุ่มมือปืนสุดโต่งที่บุกเข้าโจมตีหมู่บ้านของพวกเขาในคืนวันคริสต์มาส และว่ากลุ่มมือปืนที่ก่อเหตุได้หลบหนีกลับเข้าสู่ป่าลึกหลังการโจมตีหมู่บ้านไม่นาน
ก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสบดี (24 ธ.ค.) ประธานาธิบดีมูฮัมมาดู บูฮารี ผู้นำไนจีเรีย เพิ่งออกโรงประกาศกร้าว โดยระบุว่ากองทัพไนจีเรียเป็นฝ่ายมีชัยชนะในทางเทคนิคเหนือกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์โบโกฮารัมแล้ว โดยยืนยันว่าทางกองทัพสามารถทำลายศักยภาพในการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มสุดโต่งที่เคลื่อนไหวอยู่ทางภาคเหนือของประเทศกลุ่มนี้ลงได้อย่างสำคัญ
ผู้นำดินแดนที่ได้ชื่อว่ามีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดของทวีปแอฟริกาเปิดเผยผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์บีบีซี เมื่อวันพฤหัสบดี (24) โดยระบุว่าการกวาดล้างอย่างหนักของกองทัพไนจีเรียตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้ทำลายขีดความสามารถในการก่อเหตุโจมตีเต็มรูปแบบของกลุ่มโบโกฮารัมลงได้อย่างสำคัญ จนกลุ่มติดอาวุธสุดโต่งกลุ่มนี้ต้องหันไปใช้เพียงการก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในระยะหลัง ซึ่งนั่นหมายความว่าทางการไนจีเรียเป็นฝ่ายที่มีชัยชนะในทางเทคนิค เหนือกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้แล้ว ถึงแม้จะยังไม่สามารถกำจัดกลุ่มโบโกฮารัมได้อย่างสิ้นซากก็ตาม
ก่อนหน้านี้ อดีตนายพลชื่อดังอย่างบูฮารีที่สามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งผู้นำไนจีเรียได้เมื่อช่วงต้นปีนี้ เหนือเจ้าของตำแหน่งคนเดิมอย่างประธานาธิบดีกู๊ดลัค โจนาธาน ประกาศกำหนดเส้นตายให้ทางกองทัพ ขุดรากถอนโคนภัยคุกคามจากกลุ่มโบโกฮารัม ภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ และประกาศเดินหน้าสร้างงานและขยายโอกาสทางการศึกษาแก่บรรดาเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลแถบตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ หวังป้องกันมิให้เยาวชนในพื้นที่ถูกดึงเข้าร่วมกลุ่มติดอาวุธนี้ที่มีจุดมุ่งหมายในการสถาปนาการปกครองแบบรัฐอิสลามสุดโต่งขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือของไนจีเรีย
ถ้อยแถลงล่าสุดของผู้นำไนจีเรียมีขึ้นหลังจากที่ทางการไนจีเรียอ้างว่า การโจมตีของกลุ่มโบโกฮารัมที่เกิดขึ้นในประเทศของตนครั้งล่าสุดนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งนั่นหมายความว่าทางกลุ่มสุดโต่งนี้ได้สูญสิ้นศักยภาพในการก่อเหตุรุนแรงเป็นรายวันอย่างเช่นในอดีตไปแล้ว
เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา เกิดเหตุโจมตีโดยมือระเบิดฆ่าตัวตายที่เป็นเด็กผู้หญิง คาดว่าจะเป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์โบโกฮารัมในเมืองไมดูกูรีของไนจีเรีย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ราย ยังไม่รวมกับมือระเบิด โดยรายงานข่าวซึ่งอ้างอะเดเรมี โอปาโดกุน เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของไนจีเรีย ยืนยันว่ามือระเบิดฆ่าตัวตายซึ่งยังเป็นเพียงเด็กผู้หญิงรายดังกล่าวได้จุดชนวนระเบิดที่ผูกติดไว้กับตัวเอง บริเวณจุดตรวจของทหารแห่งหนึ่งใกล้ทางเข้าเมืองไมดูกูรี ทางตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรีย โดยการจุดชนวนระเบิดเกิดขึ้นไม่นาน หลังจากที่รถบัสโดยสารคันที่มือระเบิดที่เป็นเด็กหญิงรายนี้แฝงตัวเป็นหนึ่งในผู้โดยสารมาถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจค้น
รายงานข่าวระบุว่า แรงระเบิดส่งผลให้เด็กหญิงที่เป็นมือระเบิดฆ่าตัวตายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และมีผู้โดยสารรายอื่นเสียชีวิตอีกอย่างน้อย 7 ราย ขณะที่จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บถูกระบุว่า มีจำนวนนับสิบราย
การโจมตีโดยมือระเบิดฆ่าตัวตายที่คาดว่าจะเป็นสมาชิกกับกลุ่มติดอาวุธสุดโต่งโบโกฮารัมล่าสุด ถือเป็นเหตุโจมตีครั้งแรกในรอบเกือบ 1 เดือนที่เกิดขึ้นในเมืองไมดูกูรี ซึ่งถือเป็น “ถิ่นกำเนิด” ของกลุ่มโบโก ฮารัม นี้
ทั้งนี้ เหตุรุนแรงที่ก่อโดยกลุ่มโบโกฮารัมซึ่งดำเนินมานานกว่า 6 ปีนับตั้งแต่ปี 2009 ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วไม่น้อยกว่า 20,000 ราย ขณะที่ประชาชนอีกเกือบ 20 ล้านคนต้องอพยพหนีตายออกจากบ้านเรือนของตัวเอง โดยในระยะหลังกลุ่มโบโก ฮารัมซึ่งต้องการสถาปนา “รัฐอิสลามสุดโต่ง” ขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือของไนจีเรีย ได้เริ่มข้ามเขตแดนไปก่อเหตุรุนแรงใน ประเทศไนเจอร์ แคเมอรูน และชาดอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนประกาศสวามิภักดิ์ต่อกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในซีเรียและอิรัก ไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา