รอยเตอร์ - ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบทศวรรษในวันพุธ (16 ธ.ค.) ส่งสัญญาณเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่ก้าวผ่านบาดแผลจากวิกฤตการเงิน 2007-2009 แล้ว
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 เปอร์เซ็นต์ จากระดับใกล้ๆ 0 เปอร์เซ็นต์ เป็น 0.25 เปอร์เซ็นต์ถึง 0.50 เปอร์เซ็นต์ ยุติการโต้เถียงอันยาวนานกรณีที่ว่าเศรษฐกิจของประเทศแข็งแกร่งเพียงพอที่จะยืนหยัดต้านทานต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นหรือไม่
“คณะกรรมการกำหนดนโยบายเล็งเห็นการฟื้นตัวอย่างสำคัญในสภาพตลาดแรงงานปีนี้ และมีความเชื่อมั่นอย่างมีเหตุผลว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะกลางจะสูงขึ้นสู่ระดับ 2 เปอร์เซ็นต์ตามเป้าหมาย” เฟดระบุในถ้อยแถลงทางนโยบายที่ผ่านการลงมติด้วยคะแนนที่เป็นเอกฉันท์
เฟดแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยคือจุดเริ่มต้นของวงจรนโยบายการเงินตึงตัว และกำลังตัดสินใจถึงก้าวย่างต่อไปที่จะจับตาภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายอยู่เล็กน้อย
“เนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบันยังต่ำกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ ทางคณะกรรมการจะจับตาอย่างระมัดระวังต่อก้าวย่างต่างๆที่มุ่งสู่เป้าหมายเงินเฟ้อ ทางคณะกรรมการคาดหมายว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจจะค่อยๆพัฒนาในแนวทางที่มีเหตุผลอันควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป” เฟดระบุ
ในส่วนของการประมาณการณ์ทางเศรษฐกิจรอบใหม่ของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินเฟด ส่วนใหญ่แล้วไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนกันยายน ด้วยคาดหมายว่าอัตราคนว่างงานน่าจะลดลงสู่ 4.7 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้าและเศรษฐกิจจะขยายตัว 2.4 เปอร์เซ็นต์
ถ้อยแถลงและคำสัญญาของแนวทางค่อยเป็นค่อยไปนี้ เป็นตัวแทนแห่งการประนีประนอมระหว่างฝ่ายที่พร้อมขึ้นดอกเบี้ยมานานหลายเดือนแล้วและฝ่ายที่รู้สึกว่าเศรษฐกิจยังคงอยู่ในความเสี่ยง
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นจุดเริ่มต้นบททดสอบในทันทีต่อเครื่องมือทางการเงินใหม่ของธนาคารกลางสหรัฐฯสาขานิวยอร์กที่ออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ขณะเดียวกันมันก็น่าจะก่อการสับเปลี่ยนของเงินทุนโลก
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและต้นทุนหนี้ภาคครัวเรือนยังไม่เป็นที่ชัดเจน โดยหนึ่งในหลายประเด็นที่ทางคณะกรรมการกำหนดนโยบายจะเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดในช่วงไม่กี่วันข้างหน้าคืออัตราหนี้สินระยะยาว สินเชื่อเพื่อการบริโภคและสินเชื่อรูปแบบอื่นๆ ว่าจะตอบสนองต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างไร ขณะที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยคราวนี้ไม่ได้มีเจตนาชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเฟดเพียงแค่ต้องการดูแลนโยบายการเงินให้คืนสู่ภาวะปกติยิ่งขึ้นเท่านั้น