เอเจนซีส์ / MGR online – ผลการศึกษาล่าสุดชี้ อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจในหมู่พลเมืองสหราชอาณาจักรกลุ่มที่ประสบปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว และว่างงาน หลังเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกช่วงปี 2008
ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสตอล , มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ และมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ร่วมกันศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการฆ่าตัวตาย กับภาวะเศรษฐกิจในช่วงขาลงโดยพบว่า หลังเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกเมื่อปี 2008 มีประชากรเมืองผู้ดีฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตถึง 1,000 ราย
นอกเหนือจากจำนวนผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จที่เพิ่มสูงขึ้นหลังเกิดวิกฤตการเงินเมื่อปี 2008 แล้วพบการศึกษายังพบว่า จำนวนของผู้ที่ “พยายามฆ่าตัวตาย” หลังช่วงวิกฤตการเงินดังกล่าวยังเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตถึงกว่า 40,000 ราย
ผลสำรวจพบว่า ผู้ที่ก่อเหตุฆ่าตัวตาย รวมถึงผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านการเงินภายในครอบครัว มีหนี้สินพอกพูน หรือกลายเป็นผู้ว่างงาน และมีผู้ที่คิดสั้นหลายรายที่ประสบปัญหาดังกล่าวมากกว่า 1 ข้อ
ก่อนหน้านี้มีผลการศึกษาวิจัย ที่จัดทำโดยองค์กรการกุศลอย่าง “Campaign Against Living Miserably,” ที่พบว่า เฉพาะในปี 2014 ที่ผ่านมาเพียงปีเดียว มีผู้ชายทุกช่วงอายุจำนวน 4,623 รายในเมืองผู้ดีที่ลงมือก่อเหตุฆ่าตัวตายในรูปแบบต่าง ๆ หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยมากกว่า 12 รายต่อวัน
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่า ทั่วโลกมีผู้ที่จบชีวิตจากการฆ่าตัวตายคิดเป็นสัดส่วน 50 เปอร์เซ็นต์ในผู้ชาย และสูงถึง 71 เปอร์เซ็นต์ในผู้หญิง เมื่อเทียบกับการเสียชีวิตจากความรุนแรงทุกประเภทรวมกัน และล่าสุดยูเอ็นเผยว่า ขณะนี้ ปัญหาการคิดสั้นฆ่าตัวตายกำลังกลายเป็นปัญหาระดับโลกที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งหาทางรับมือ จากการที่สถิติการฆ่าตัวตายของประชากรโลกเพิ่มสูงขึ้นเป็น “1 รายในทุก 40 วินาที”