รอยเตอร์ - ทหารฟิลิปปินส์ปะทะกับนักรบอิสลามิสต์ บนเกาะห่างไกลทางภาคใต้ของประเทศในวันอังคาร (15 ธ.ค.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวม 15 ราย ขณะที่กองกำลังด้านความมั่นคงยกระดับจู่โจมกลุ่มกบฏที่ฆ่าตัดหัวตัวประกันชาวมาเลเซีย
พวกนักรบจากกลุ่มอาบูไซยาฟ ได้หลบหนีการไล่ล่าของกองกำลังฟิลิปปินส์บนเกาะโจโลและเกาะบาซิลัน มาตั้งแต่ลงมือฆ่าตัดศีรษะเจ้าของร้านอาหารชาวมาเลเซียเมื่อเดือนที่แล้ว
ทั้งนี้ อาบูไซยาฟ เครือข่ายของอัลกออิดะห์ซึ่งขึ้นชื่อด้านการลักพาตัว ฆ่าตัดศีรษะ และโจมตีด้วยระเบิด เป็นหนึ่งในกลุ่มก๊กกบฏมุสลิมที่มีความป่าเถื่อนที่สุดในพื้นที่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ที่มีชาวคริสเตียนเป็นชนกลุ่มใหญ่
ฟิเลมอน ตัน โฆษกกองทัพเปิดเผยว่า ทหารได้สังหารกบฏได้ 13 คนในเหตุยิงปะทะกันตอนเวลาประมาณ 17.00 น.(ตรงกับเมืองไทย 16.00 น.) ในพื้นที่ป่าใกล้กับเมืองอัล บาร์กา บนเกาะบาซิลัน ขณะที่มีทหารเสียชีวิต 2 นาย และบาดเจ็บ 10 คน
แม้ว่าทหารรุกเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่วันอาทิตย์ (13 ธ.ค.) แต่นายตันเปิดเผยว่า “วันนี้เป็นเพียงวันแรกที่มีการปะทะกันอย่างหนักหน่วง และจนถึงขณะนี้ยังคงมีการปะทะกันประปราย”
โฆษกระบุต่อว่า กำลังพลของกองทัพพบฐานทัพหลักแห่งหนึ่งของกบฏบนเกาะ พร้อมเผยว่าทหารได้ปฏิบัติการจู่โจมพวกนักรบมาตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน หลังจากประธานาธิบดีเบนิโญ อากีโน สั่งให้ไล่ล่าพวกอาบู ไซยาฟ โทษฐานที่ประหารตัวประกันชาวมาเลเซีย
ทหารพบศพนิรนามเชื่อว่าเป็นของนักธุรกิจชาวมาเลเซียในสภาพถูกตัดศีรษะถูกฝังตื้นๆ กลางป่าบนเกาะโจโลที่อยู่ใกล้ๆ กันในช่วงค่ำวันจันทร์ (14 ธ.ค.) และตอนนี้มันถูกนำไปยังห้องแล็บของตำรวจเพื่อพิสูจน์ดีเอ็นเอ
ทั้งนี้ โฆษกของกองทัพอีกรายในมะนิลาบอกว่า ผู้แจ้งเบาะแสคนหนึ่งพาทหารไปยังบริเวณดังกล่าว และระบุว่า “ศีรษะของศพถูกส่งให้ตำรวจเพื่อไปตรวจดีเอ็นเอ และตอนนี้กำลังตรวจศพเพื่อดูว่ามีดีเอ็นเอตรงกันหรือไม่”
การระบุเอกลักษณ์บุคคลที่ชัดเจนเป็นสิ่งจำเป็นก่อนจะได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่มาเลเซียและครอบครัวของเหยื่อต่อไป โฆษกกองทัพฟิลิปปินส์ระบุ
รัฐบาลลงนามในข้อตกลงสันติภาพกับกบฏมุสลิมกลุ่มใหญ่ที่สุดคือแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (Moro Islamic Liberation Front) พร้อมคำสัญญาว่าจะมอบอำนาจในการปกครองตนเองทางภาคใต้และยุติความขัดแย้ง 45 ปี คร่าชีวิตผู้คน 120,000 ศพ และทำประชาชนต้องย้ายถิ่นฐานกว่า 2 ล้านคน
