เอเจนซีส์ / MGR online - ประธานาธิบดียาห์ยา จัมเมห์ แห่งแกมเบีย ประกาศในวันเสาร์ (12 ธ.ค.) ให้ประเทศในแอฟริกาตะวันตกของตนมีสถานะกลายเป็น “สาธารณรัฐอิสลาม” ระบุความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ถือเป็นการ “แตกหัก” กับอดีตอันขมขื่นของแกมเบียในยุคอาณานิคม
ประธานาธิบดียาห์ยา จัมเมห์ ผู้นำแกมเบีย ได้แถลงในวันเสาร์ (12) ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ ที่อยู่ในความควบคุมของรัฐบาล โดยระบุว่า การตัดสินใจประกาศให้แกมเบียมีสถานะเป็นสาธารณรัฐอิสลามในครั้งนี้มีความสอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางศาสนา และค่านิยมของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นชาวมุสลิม และว่าแกมเบียไม่สามารถที่จะแบกรับการเดินตามรอยมรดกทางวัฒนธรรมที่ตกทอดต่อเนื่องมาจากยุคอาณานิคมได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีจัมเมห์แห่งแกมเบียได้ให้คำมั่นในเวลาต่อมาว่า พลเมืองผู้นับถือศาสนาและความเชื่ออื่นๆ จะยังคงสามารถประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาและความเชื่อความศรัทธาของตนได้ต่อไปโดยที่รัฐบาลแกมเบียจะไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือปิดกั้นเสรีภาพในด้านนี้แต่อย่างใด
ทั้งนี้ แกมเบียซึ่งได้รับเอกราชหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักรเมื่อ ค.ศ.1965 ถือเป็นดินแดนที่ได้ชื่อว่ามีขนาดพื้นที่เล็กที่สุดบนผืนแผ่นดินใหญ่ของทวีปแอฟริกา โดยในปัจจุบันมีข้อมูลว่ากว่าร้อยละ 95 ของประชากร 1.8 ล้านคนของแกมเบียเวลานี้ เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม
เมื่อเดือนตุลาคมปี 2013 ประธานาธิบดีจัมเมห์ผู้นี้ ประกาศถอนแกมเบียออกจากการเป็นประเทศสมาชิกเครือจักรภพ (the Commonwealth) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลที่เป็นที่รวมของประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักรไว้มากกว่า 50 แห่ง โดยผู้นำแกมเบียกล่าวหาว่าเครือจักรภพเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิอาณานิคมแนวใหม่
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลแกมเบียภายใต้การนำของประธานาธิบดียาห์ยา จัมเมห์กับโลกตะวันตก อยู่ในภาวะที่ค่อนข้างเย็นชาและเสื่อมถอย โดยในปี 2014 ที่ผ่านมา สหภาพยุโรป (อียู) ประกาศระงับเงินช่วยเหลือแก่แกมเบียเป็นการชั่วคราว โดยอ้างสถิติการลิดรอนสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายของรัฐบาลแกมเบียต่อประชาชนในประเทศของตน