ยังคงเป็นกระแสข่าวที่ทั่วโลกติดตามอย่างต่อเนื่อง สำหรับเหตุวินาศกรรมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในกรุงปารีสของฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ซึ่งนอกจากจะทำให้บรรดาชาติยุโรปต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดที่สุดแล้ว ยังทำให้ “สงครามต่อต้านก่อการร้าย” กลายเป็นวาระสำคัญที่นานาชาติต้องหันหน้ามาพูดคุย และร่วมมือกันอย่างจริงจังมากขึ้น พร้อมกันนั้นก็มีคำเตือนว่ากลุ่มติดอาวุธในหลายภูมิภาคอาจกำลังวางแผนก่อวินาศกรรมในลักษณะเช่นนี้อีก
กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบเหตุโจมตีที่เมืองหลวงฝรั่งเศส ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปถึง 130 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 300 คน ขณะที่ “อับเดลฮามิด อาบาอูด” นักรบไอเอสชาวเบลเยียมซึ่งน่าจะเป็น “ผู้บงการ” ถูกตำรวจฝรั่งเศสวิสามัญระหว่างปฏิบัติการจู่โจมอพาร์ตเมนต์ที่ย่านแซงต์-เดอนีส์ หลังเหตุการณ์ผ่านพ้นไปเพียง 5 วัน
อัยการกรุงปารีสออกมาเผยเมื่อวันอังคาร (24 พ.ย.) ว่า อาบาอูด ยังมีแผนก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายที่ย่านธุรกิจ “ลา เดฟองส์” ของฝรั่งเศส โดยจะลงมือประมาณ 1 สัปดาห์หลังวันที่ 13 พ.ย. ซึ่งก็นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่เขาจบชีวิตลงไปเสียก่อน
ผู้ต้องหาคนสำคัญอีกรายที่กำลังถูกล่าตัวอยู่ในขณะนี้ก็คือ “ซาลาห์ อับเดสลาม” น้องชายของมือระเบิดที่กดชนวนฆ่าตัวตายในคาเฟ่ ก็องตัวร์ วอลแตร์ ซึ่งล่าสุดมีกระแสข่าวว่า เขาอาจกำลังมุ่งหน้าเข้าไปกบดานในเยอรมนี
อัยการเบลเยียมยังได้ออกหมายจับสากลล่าตัว “โมฮาเหม็ด อาบรีนี” วัย 30 ปี หลังกล้องวงจรปิดของปั๊มน้ำมันในเมืองเรสซงส์ (Ressons) ทางตอนเหนือของปารีสสามารถจับภาพไว้ได้เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ขณะที่เขาและ อับเดสลาม นำรถยนต์ เรโนลต์ คลีโอ สีดำคันที่ใช้ก่อเหตุโจมตี เข้าไปเติมน้ำมัน
ประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ ออลลองด์ แห่งฝรั่งเศส ประณามเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นว่าเป็น “การก่อสงคราม” และตัดสินใจส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน ชาร์ลส เดอ โกลล์ เข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออก พร้อมด้วยเครื่องบินรบ 26 ลำ ซึ่งเมื่อผนึกกำลังกับเครื่องบินขับไล่อีก 12 ลำซึ่งประจำการในจอร์แดนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อยู่แล้ว จะทำให้ศักยภาพในการโจมตีของฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า
ออลลองด์ระบุว่า ฝรั่งเศสมีแผนขยายปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อไอเอสในซีเรีย โดยจะเน้นการทำลายเป้าหมายที่สร้างความเสียหายให้นักรบหัวรุนแรงกลุ่มนี้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งแผนการที่ว่านี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ ซึ่งเสนอให้ความช่วยเหลือด้วยปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ และอนุญาตให้ฝรั่งเศสเข้าไปใช้ฐานทัพอากาศของอังกฤษในไซปรัสได้ด้วย
ด้านประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียก็ประกาศจะลงโทษพวกนักรบญิฮาดไอเอสที่อ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดเครื่องบิน “เมโทรเจ็ต” ของแดนหมีขาว หลังได้รับการยืนยันแล้วว่า เครื่องบินโดยสารที่ตกบนคาบสมุทรไซนายของอียิปต์เมื่อเดือนที่แล้ว และคร่าชีวิตผู้โดยสารยกลำ 224 ศพ ถูกวางระเบิด
UN ไฟเขียวใช้ “ทุกมาตรการ” กำจัดไอเอส
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันศุกร์ที่ 20 พ.ย. อนุมัติให้นานาชาติใช้ทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อปราบปรามกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) โดยมติซึ่งฝรั่งเศสเป็นผู้ร่างขึ้นเรียกร้องให้ชาติสมาชิกยูเอ็น “เพิ่มความร่วมมือและความพยายามอีกเป็น 2 เท่าในการป้องกันและสกัดการโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย” ไม่ว่าจะเป็นไอเอส หรือกลุ่มหัวรุนแรงอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับอัลกออิดะห์
อย่างไรก็ตาม มติของ UN ไม่ถึงขั้นเปิดไฟเขียวให้แต่ละประเทศใช้ปฏิบัติการทางทหารได้อย่างถูกกฎหมาย และไม่ได้เอ่ยถึงมาตราที่ 7 ในกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งอนุมัติให้ใช้กำลังทหารด้วย
มอสโกได้ร่างมติขึ้นมาอีกฉบับหนึ่งก่อนหน้านั้น ซึ่งมีเนื้อหาเรียกร้องให้นานาชาติร่วมกันกวาดล้างไอเอสโดยต้องได้รับความยินยอมพร้อมใจจากรัฐบาลซีเรียด้วย ทว่ามติดังกล่าวถูกปฏิเสธโดยสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งยืนกรานจะไม่ร่วมมือกับประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด โดยเด็ดขาด
เบลเยียมเฝ้าระวังก่อการร้าย “ขั้นสูงสุด”
รัฐบาลเบลเยียมสั่งยกระดับเฝ้าระวังการก่อการร้ายสู่ขั้นที่ 4 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดในกรุงบรัสเซลส์เมื่อวันเสาร์ (21 พ.ย.) และได้ขยายเวลาเพิ่มไปอีก 1 สัปดาห์จนถึงสิ้นเดือน พ.ย. โดยศูนย์ประเมินความเสี่ยงแห่งชาติ (OCAM) ระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้นในเมืองหลวงซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สหภาพยุโรปและองค์การสนธิสัญญาปกป้องแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ด้วย
นายกรัฐมนตรี ชาร์ลส์ มิเชล แห่งเบลเยียม เตือนพลเมืองให้หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมนุมชนอย่างห้างสรรพสินค้าหรือเวทีคอนเสิร์ตซึ่งเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายของผู้ก่อการร้าย ขณะที่อียูและ นาโตได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญทำงานจากที่บ้าน
สหรัฐฯ เตือนเฝ้าระวังเดินทาง-เบรกรับผู้ลี้ภัยซีเรีย
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเฝ้าระวังการเดินทางทั่วโลกเมื่อวันจันทร์ (23 พ.ย.) ในขณะที่ชาวอเมริกันหลายล้านคนกำลังเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางพักผ่อนในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้าและคริสต์มาส
ข้อความเตือนที่ปรากฏบนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ไอเอส, อัลกออิดะห์, โบโกฮารัม และเครือข่ายก่อการร้ายอื่นๆ ยังคงมีแผนก่อวินาศกรรมในหลายภูมิภาค และยังมีความเสี่ยงจากบุคคลที่ไม่สังกัดเครือข่ายใด แต่ได้แรงบันดาลใจจากองค์กรก่อการร้ายจนอาจตัดสินใจวางแผนก่อเหตุด้วยตนเอง
กระแสตื่นกลัวการก่อการร้ายยังทำให้สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มีมติเมื่อวันที่ 19 พ.ย. ผ่านร่างกฎหมาย “ระงับ” โครงการเปิดรับผู้ลี้ภัยซีเรีย 10,000 คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอเมริกาในปี 2016 และเพิ่มมาตรการคัดกรองผู้ลี้ภัยให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยเสนอให้ผู้ลี้ภัยซีเรียแต่ละรายต้องได้รับการรับรองจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง ได้แก่ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ), ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ว่า “ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคง” จึงจะเข้ามาพำนักในสหรัฐฯ ได้
สมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนเตือนว่ากลุ่มติดอาวุธอาจแฝงตัวเข้าสหรัฐฯ ในคราบผู้ลี้ภัย โดยอ้างอิงข้อมูลที่ว่ามีมือระเบิดปารีสอย่างน้อย 1 คนเล็ดลอดเข้ายุโรป โดยแฝงตัวมากับคลื่นผู้ลี้ภัยที่ลงทะเบียนในกรีซ
ประธานาธิบดี บารัค โอบามา วิจารณ์พรรครีพับลิกันว่า “ตีโพยตีพายเกินเหตุ” และ “ไม่มีความเป็นอเมริกัน” ที่ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ ขับไล่ไสส่งผู้ลี้ภัยมุสลิม
“เดลิเมล” เจอแฉจ่าย €50,000 ซื้อภาพกราดยิงปารีส
หนังสือพิมพ์เดลีเมล์ซึ่งเป็นสื่อซุบซิบชื่อดังของอังกฤษก็กำลังถูกวิจารณ์เรื่องการจ่ายเงินมหาศาลซื้อภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ขณะมือปืนอิสลามิสต์บุกโจมตีร้านพิซซ่า “คาซา นอสตรา พิซเซอเรีย” ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 พ.ย. และยังจ้างแฮกเกอร์มาเจาะรหัสลับที่ตำรวจตั้งเอาไว้เพื่อนำภาพออกมาตีพิมพ์
จาฟเฟอร์ ไอต์ อูเดีย นักหนังสือพิมพ์ชาวฝรั่งเศส ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เลอ เปอตี ฌูร์นาล” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง Canal + ของฝรั่งเศสว่า เดลิเมลส่งตัวแทนไปเจรจากับผู้จัดการร้านพิซซ่า โดยยอมทุ่มเงินถึง 50,000 ยูโร หรือราว 1,900,000 บาท เพื่อให้ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดตอนที่พนักงานและลูกค้าในร้านหมอบลงกับพื้นเพื่อหลบลูกกระสุนที่มือปืนกราดยิงเข้ามาจากเทอร์เรซด้านนอก
อูเดีย อ้างว่า ภาพวงจรปิดถูกตำรวจใส่รหัสป้องกันไว้ แต่ผู้จัดการร้านพิซซ่าได้ตาม “ผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์” มาช่วยถอดรหัสให้เดลีเมลจนสำเร็จ จากนั้นจึงทุบฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้เก็บไฟล์วีดีโอทิ้ง เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีสื่อสำนักอื่นได้ภาพไปอีก
นักวิจารณ์ในฝรั่งเศสชี้ถึงความไม่เหมาะสมในการเผยแพร่คลิปนี้ เพราะอาจกระทบจิตใจของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ และไม่สมควรที่เดลีเมล์จะทุ่มเงินซื้อหลักฐานชิ้นสำคัญที่มีความละเอียดอ่อน ในขณะที่กระบวนการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น