เอเอฟพี - กองทัพตุรกีออกมาแถลงเพิ่มเติมเมื่อวันพุธ (25 พ.ย.) โดยยืนยันว่า “ไม่รู้มาก่อน” ว่าเครื่องบินขับไล่รุ่น Su-24 ที่ถูกยิงตกนั้นเป็นอากาศยานของรัสเซีย และพร้อมที่จะ “ให้ความร่วมมือทุกรูปแบบ” หลังมอสโกออกมาประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็น “แผนยั่วยุ”
หลังจากวิกฤตการณ์นี้ได้สร้างความตึงเครียดครั้งใหญ่ระหว่างรัสเซียกับตุรกี จนนาโตซึ่งเป็นพันธมิตรกับอังการาต้องออกมาเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ความอดกลั้น ล่าสุดกองทัพตุรกียืนยันว่า พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะค้นหาและช่วยชีวิตนักบิน Su-24 ทั้งสองคน ทันทีที่ถูกยิงตกเมื่อวันอังคาร (24)
นักบินที่รอดชีวิตยืนยันว่า พวกเขาไม่ได้รับการแจ้งเตือนใดๆ เลยจากฝ่ายตุรกี และไม่ได้นำเครื่องบินรุกล้ำน่านฟ้าด้วย ซึ่งกองทัพตุรกีก็ตอบโต้ด้วยการนำคลิปเสียงที่ยืนยันได้ว่า มีการเตือนให้เครื่องบินขับไล่รัสเซียเปลี่ยนเส้นทางลงใต้
“นี่คือกองทัพอากาศตุรกีที่พูดจากภาคพื้น คุณกำลังเข้ามาในเขตน่านฟ้าของตุรกี จงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังทิศใต้ทันที” เสียงในบันทึกการสนทนาพูดซ้ำเช่นนี้หลายครั้งโดยใช้ภาษาอังกฤษ
การยิงทำลายเครื่องบินรัสเซียส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติที่ยืนอยู่ต่างขั้วในสงครามซีเรียเลวร้ายลงอย่างหนัก และอาจลุกลามบานปลายจนกลายเป็นความขัดแย้งด้านภูมิศาสตร์การเมืองครั้งใหญ่
อังการาและมอสโกมีจุดยืนต่อปัญหาซีเรียที่แตกต่างกัน โดยตุรกีนั้นต้องการให้ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรียพ้นจากตำแหน่ง ในขณะที่รัสเซียกลับทำทุกวิถีทางเพื่อจะช่วยยื้ออำนาจให้ อัสซาด
แม้จะให้คำอธิบายกันไปคนละอย่างเกี่ยวกับกรณีเครื่องบิน Su-24 ถูกยิงตก แต่ทั้งรัสเซียและตุรกีก็ยืนยันว่า ไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหารขึ้นในภูมิภาคซึ่งมีความขัดแย้งคุกรุ่นอยู่แล้ว
กองทัพตุรกีแถลงเพิ่มเติมในวันพุธ (25) ว่า ได้ส่งหนังสือเชิญผู้แทนและทูตทหารของรัสเซียเข้าร่วมหารือที่กรุงอังการา เพื่ออธิบายสถานการณ์และบริบทต่างๆ อันนำไปสู่สิ่งที่เกิดขึ้น
“ขณะนั้นเราไม่ทราบว่าเป็นเครื่องบินขับไล่สัญชาติใด... จึงต้องใช้กฎการปะทะสู้รบอย่างแข็งกร้าว” หลังจากเครื่องบินเป้าหมายไม่ตอบสนองต่อคำเตือน
กองทัพตุรกีเสริมว่า ได้มีการประสานไปยังหน่วยงานทางทหารของรัสเซียแล้ว เพื่อแสดงว่าฝ่ายตุรกี “พร้อมที่จะให้ความร่วมมือทุกรูปแบบ”
เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธ (25) ว่า ตน “รู้สึกกังขาอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อนจริงหรือไม่ เพราะดูเหมือนเป็นแผนยั่วยุ” แต่ก็กล่าวย้ำว่า “เราไม่ได้คิดจะทำสงครามกับตุรกีเพราะเรื่องนี้ ทัศนคติที่เรามีต่อชาวตุรกียังไม่เปลี่ยนแปลง”
ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้ออกมาประณามการยิงเครื่องบินขับไล่รัสเซียว่าเหมือนถูก “แทงข้างหลังโดยพวกที่สมคบคิดกับกลุ่มก่อการร้าย” พร้อมเรียกร้องให้ชาวรัสเซียงดเดินทางไปท่องเที่ยวในตุรกี
ขณะเดียวกัน ประชาชนและนักเคลื่อนไหวหลายร้อยคนก็ได้รุมขว้างปาก้อนหินและไข่ใส่สถานทูตตุรกีในกรุงมอสโก และชูป้ายประท้วงการยิงทำลายเครื่องบินของแดนหมีขาว
รัฐมนตรีกลาโหม เซียร์เก ชอยกู ประกาศจะส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ซึ่งเป็นรุ่นไฮเทคที่สุดที่รัสเซียมีอยู่ ไปติดตั้งยังฐานทัพอากาศในจังหวัดลาตาเกียของซีเรีย ขณะที่สื่อตุรกีก็อ้างแหล่งข่าวในกองทัพว่า กองทัพอากาศตุรกีได้สั่งยกระดับภารกิจลาดตระเวนของฝูงบิน F-16 ทั้ง 18 ลำบริเวณแนวพรมแดน
ประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน แห่งตุรกี พยายามช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ โดยยืนยันว่า สิ่งที่อังการาทำลงไปก็เพื่อปกป้องเขตแดนของตนเองเท่านั้น
“เราไม่มีเจตนาทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย เพียงแต่ปกป้องความมั่นคงและสิทธิของพี่น้องชาวตุรกีเท่านั้น” เออร์โดกันกล่าว