xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐกิจจีนอาจชะลอเหลือ 6.5% ขณะที่เงินหยวนจะซื้อขายอย่างเสรีได้มากขึ้น

เผยแพร่:   โดย: เอเชียอันเฮดจ์

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Xi acknowledges economy could slow to 6.5%
By Asia Unhedged
03/11/2015

ในระหว่างการประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาแผน 5 ปีฉบับที่ 13 ซึ่งจะเป็นพิมพ์เขียวสำหรับแนวทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของแดนมังกรในช่วงปี 2016 -2020 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้พูดถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในระยะ 5 ปีดังกล่าวว่า เป็นไปได้ที่จะอยู่ในระดับปีละ 7% แต่จะต้องไม่ต่ำกว่า 6.5% จึงจะบรรลุเป้าหมายการทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัวภายในช่วงระหว่างปี 2010 ถึง 2020 นอกจากนั้นคำแถลงซึ่งออกมาภายหลังการประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคราวนี้ ยังแสดงการสนับสนุนการทำให้เงินหยวนกลายเป็นสกุลเงินตราที่ซื้อขายกันได้อย่างเสรีและใช้กันได้อย่างเสรีภายในปี 2020

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า ช่วงระยะ 5 ปีจากนี้ไป อัตราเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะออกมาในระดับต่ำกว่าปีละ 7% และอาจจะลงต่ำถึง 6.5% ทีเดียว

ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวาของรัฐบาลแดนมังกรเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่ สี อธิบายข้อเสนอประการหนึ่งในแผน 5 ปีฉบับที่ 13 ของประเทศ ซึ่งเป็นพิมพ์เขียววางแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีนในช่วงระหว่างปี 2016 ถึง 2020 นั้น ประมุขแดนมังกรผู้นี้บอกว่ามีความเป็นไปได้ที่จีนจะมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณ 7% ตลอดระยะ 5 ปีข้างหน้า

พูดอย่างนี้ พวกนักทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลาย มีหวังะต้องพากันออกมาตะโกนว่า “เห็นไหม พวกนั้นแต่งตัวเลขให้สูงเกินความจริงอีกแล้ว!”

แต่ขอให้เราอย่ามองเรื่องนี้ในแง่มุมของการปั้นแต่งตัวเลขให้สูงขึ้นได้ไหม เอาเพียงแค่เรียกว่านี่แหละวิธีการของพวกนักการเมือง

ความเสี่ยงภัยทางอาชีพของนักการเมืองทั้งหลายก็คือ พวกเขาจำเป็นต้องประกาศวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อเป็นเหตุผลหว่านล้อมให้ประชาชนลงคะแนนเสียงให้ หรืออย่างน้อยเพื่อให้ประชาชนยินยอมเดินตามพวกเขา

บางครั้งบางครา นักการเมืองคนใดคนหนึ่งก็คิดอย่างที่พูดออกมาจริงๆ และกำลังชี้อย่างมีความหวังไปยังอนาคตซึ่งเขาทราบว่าแฟนคลับของเขาต้องการที่จะเห็น อีกทั้งตัวเขาเองก็คิดเห็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย แต่ขอให้ยอมรับความจริงกันด้วยเถิดว่า การทำนายคาดการณ์ทางเศรษฐกิจและทางการเงินส่วนใหญ่นั้น มันเป็นเพียงคำพยากรณ์ของหมอดูซึ่งมีพรีเซนเทชั่นแบบมืออาชีพเพิ่มความน่าเลื่อมใส

ในการเดินหมากชั้นครูของการรักษาตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกวิพากษ์ประณามตามหลัง หากความเป็นจริงไม่ได้ออกมาสดสวยเหมือนคำทำนาย สี กล่าวว่าขณะที่มีความเป็นไปได้สำหรับจีนที่จะมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจราวปีละ 7% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า แต่ก็ยังมีปัจจัยไม่แน่นอนเป็นจำนวนมาก เป็นต้นว่า กิจการที่มีหนี้สินสูงลิ่ว สำนักข่าวซินหวารายงาน

อ้าว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นกันอยู่ตลอดเวลาหรือ? ความไม่แน่นอนนั่นแหละคือองค์ประกอบสำคัญที่สุดในการทำนายพยากรณ์อนาคตไม่ใช่หรือ?

ดังนั้น สิ่งที่โลกต้องการได้ยินได้ฟังก็คือ จีนไม่ได้กำลังมองเห็นว่าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของตนอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรง ไม่เพียงเท่านั้นรัฐบาลจีนเองยังกำลังวางเดิมพันอยู่ข้างที่ว่าการเติบโตจะยังคงดำเนินต่อไป เพื่อเพิ่มพูนอำนาจบารมีของตนบนเวทีโลก

แนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็คือ จีนจะเห็นอัตราเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศอยู่ในระดับ 7% ในปีนี้ และโลกก็ต้องการได้ยินได้ฟังว่า ระบบเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของโลกรายนี้แม้กำลังเติบโตช้าลง แต่ก็ด้วยฝีก้าวแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ฮวบฮาบดำดิ่ง

ดังนั้น ทำไมเขาจึงไม่สมควรที่จะบอกเล่าให้ประชาชนได้ฟังในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ยิน?

ถัดจากนั้น สี กล่าวว่าอัตราเติบโตในแต่ละปีจะต้องไม่ต่ำกว่า 6.5% ในตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้า จึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายของประเทศจีนที่กำหนดเอาไว้ว่า ภายในปี 2020 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากร จะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัวของเมื่อปี 2010 ทั้งนี้ตามรายงานของซินหวา ถึงแม้สำนักข่าวแห่งนี้ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเขากล่าวคำพูดนี้ที่ไหน แต่เอาเถอะ ตอนนี้ก็คือเขายอมรับแล้วว่ามันอาจจะลงต่ำไปจนถึง 6.5% และขอให้ยอมรับเสียเถิดว่า นี่ย่อมห่างออกมาหน่อยจาก “ประมาณ 7%” ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปรัชญาแนวความคิดของคุณๆ เองในเรื่องจำนวนประมาณๆ ที่อยู่ใกล้จำนวนเต็มที่สุด มองกันในอีกมุมหนึ่ง ระดับ 6.5% นี้ยังอาจเรียกใหม่ว่าอยู่ในขอบเขตของ “ประมาณ 6%” ก็ย่อมได้ ซึ่งนี่จะสร้างความแตกต่างขึ้นมาเยอะเลย

ถึงแม้เวลานี้รัฐบาลจีนมีความสามารถอย่างไม่เป็นธรรมเอาเสียเลยที่จะส่งอิทธิพลและควบคุมบงการเศรษฐกิจของตนเอง ทว่าพวกเขาก็กำลังพยายามที่จะก้าวออกจากจุดนั้น และหันมาพึ่งพิงเศรษฐกิจที่อิงอยู่กับตลาดซึ่งต้องอาศัยการบริโภคภายในประเทศ ความหวังของพวกเขาก็คือการปรับเปลี่ยนเช่นนี้จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมีความยั่งยืนมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการมุ่งพึ่งพาการค้าและการลงทุน อย่างที่ปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ว่า การมุ่งลงทุนอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นทำให้เกิดนครใหม่ๆ ที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนอยู่อาศัย แล้วระบบเศรษฐกิจหนึ่งๆ สามารถที่จะรับมือกับนครใหม่ๆ ที่ร้างว่างเปล่าได้สักกี่แห่งกัน? อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่งก็ต้องตระหนักเช่นกันว่า พลังตลาดนั้นเป็นสิ่งที่คาดการณ์พยากรณ์ได้ยากแถมยังสุดแสนพยศ และไม่ได้มีการกำหนดเป้าหมายสำหรับระยะ 5 ปีกันหรอก

พวกนักวิเคราะห์ภาคเอกชนพากันเตือนว่า การยึดติดอยู่กับเป้าหมายที่สูงลิ่ว อาจขัดแย้งเป็นปฏิปักษ์กับความพยายามของทางการที่จะปรับเปลี่ยนจีนให้หันไปสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น บางคนบอกว่าระดับการเติบโตที่สอดคล้องความเป็นจริงมากกว่าน่าจะอยู่แค่ 5.5% ถึง 6% ซึ่งก็ยังคงทำให้จีนติดอันดับอยู่ในหมู่ประเทศเติบโตขยายตัวเร็วที่สุดในโลกอยู่นั่นเอง

ตามรายงานของซินหวา สี กล่าวว่ามีความจำเป็นที่จะต้อง “ธำรงรักษาอัตราเจริญเติบโตในระดับกลาง-สูงเอาไว้ให้ได้” เพื่อที่จีนจะได้สามารถ “ก่อสร้างสังคมที่มีความมั่งคั่งไพบูลย์ระดับพอประมาณในทุกๆ ด้านขึ้นมา”

ตัวเลขจีดีพีเฉลี่ยต่อหัวของจีนเวลานี้อยู่ที่ประมาณ 8,000 ดอลลาร์ ยังห่างไกลมากเมื่อเปรียบเทียบกับ 55,000 ดอลลาร์ของสหรัฐฯ และกระทั่ง 36,000 ดอลลาร์ของญี่ปุ่น

อย่างไรก็ดี ขอให้พิจารณากันอย่างเอาจริงเอาจังหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรตัวเลขขนาดนี้ก็ต้องแสดงความยกย่องนับถือและให้เครดิตแก่รัฐบาลจีนกันได้แล้ว และพวกเขาจะทำสิ่งที่พวกเขาสามารถกระทำได้เพื่อให้เป็นที่มั่นใจได้ว่าตัวเลขเหล่านี้จะไม่มีการตกลงต่ำใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากกลัวการเสียหน้า ดังจะเห็นตัวอย่างจากความพยายามเข้าบงการควบคุมตลาดในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาของปีนี้ เมื่อทางการแดนมังกรมุ่งมั่นทำให้เกิดความมั่นใจว่าตลาดหุ้นไม่ได้กำลังไหลรูดแบบยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่

หรือตัวอย่างที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ที่ปกครองจีนอยู่ในเวลานี้ ประกาศเปลี่ยนแปลงการทดลองทางวิศวกรรมสังคมอันสำคัญมากของตน ซึ่งได้แก่การจำกัดให้แต่ละครอบครัวมีบุตรได้คนเดียว โดยจากนี้ไปจะให้เลี้ยวกลับไปสู่ทิศทางตรงกันข้าม ด้วยการยินยอมให้คู่สมรสทุกๆ คู่สามารถมีบุตรได้ 2 คน เนื่องจากสังคมจีนที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว กำลังต้องการแรงงานวัยหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น

ในวันอังคาร (2 พ.ย.) พรรคคอมมิวนิสต์ยังแถลงว่า บรรดาผู้นำของพรรคตกลงเห็นชอบกันในสัปดาห์ที่แล้วที่จะทำให้สกุลเงินหยวนกลายเป็น “สกุลเงินที่ซื้อขายกันได้อย่างเสรีและใช้กันได้อย่างเสรี” ภายในช่วงสิ้นสุดของแผนพัฒนาระยะ 5 ปีฉบับใหม่นี้ ซึ่งก็คือภายในปี 2020

ปักกิ่งนั้นกำลังค่อยๆ ขยายการใช้เงินหยวนในต่างประเทศในด้านการค้าขายอยู่แล้ว ทว่ายังคงจำกัดให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนในแต่ละวันสามารถเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่ภายในแถบที่กำหนดเท่านั้น ตลอดจนยังคงจำกัดการเคลื่อนย้ายเงินเข้าและออกจากประเทศจีน

พวกผู้นำจีนพูดกันมาตั้งหลายปีแล้วว่า ในที่สุดแล้วพวกเขาจะอนุญาตให้สามารถซื้อขายเงินหยวนกันได้อย่างเสรี แต่พวกเขาก็บอกด้วยว่าเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องทำให้สำเร็จเสียก่อน ได้แก่การดำเนินการปฏิรูปอย่างขนานใหญ่ในระบบการเงินของจีนซึ่งรัฐยังคงเป็นผู้บริหารจัดการ เพื่อทำให้บรรดาธนาคารตลอดจนกิจการประเภทอื่นๆ สามารถรับมือกับภาวะที่อัตราดอกเบี้ยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสับสนวุ่นวายมากขึ้น ตลอดจนรับมือกับการเคลื่อนย้ายทางการเงินที่จะเกิดตามการปรับเปลี่ยนของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว

ประกาศคราวนี้ออกมาในจังหวะเวลาที่พวกนักวิเคราะห์บอกว่าพลังของตลาดกำลังส่งแรงกดดันให้เงินหยวนมีค่าอ่อนลงมา นี่หมายความว่าการลดหย่อนผ่อนคลายการควบคุมน่าจะเป็นเหตุให้สกุลเงินตรานี้มีค่าลดต่ำลง และนั่นย่อมทำให้การตัดสินใจเช่นนี้เป็นที่ยอมรับในทางการเมืองภายในประเทศได้มากขึ้น เนื่องจากมันจะลดราคาสินค้าส่งออกของจีน และช่วยเหลือผู้ส่งออกทั้งหลายซึ่งกำลังดิ้นรนหนักในภาวะที่ดีมานด์ความต้องการของโลกอ่อนตัวเช่นนี้

คำแถลงของพรรคเกี่ยวกับเรื่องค่าเงินหยวนที่ออกมาเมื่อวันอังคาร (3 พ.ย.) มีข้อความเพียงประโยคเดียว โดยไม่ได้มีการบ่งชี้ใดๆ ให้ทราบว่า การเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบทางด้านสกุลเงินหยวนซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะมีอะไรบ้างและเริ่มกันเมื่อใด

พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังระบุด้วยว่า ตนจะส่งเสริมสนับสนุนให้เงินหยวนได้รับบรรจุเพิ่มเข้าไปในตะกร้าสกุลเงินตราต่างๆ ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ใช้สำหรับการคำนวณเพื่อกำหนดมูลค่าสกุลเงินตราที่ใช้ภายในไอเอ็มเอฟเอง ซึ่งรู้จักกันในนาม “สิทธิพิเศษการถอน” (Special Drawing Rights ใช้อักษรย่อว่า SDR) ทั้งนี้หากเงินหยวนได้รับการบรรจุเข้าไปในตะกร้าสกุลเงินตราดังกล่าว เคียงคู่กับสกุลเงินดอลลาร์อเมริกัน, เงินยูโร, เงินเยน, และเงินปอนด์อังกฤษ แล้ว ย่อมเสมือนกับเป็นรางวัลเกียรติยศทางการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญทางการเงินของจีน ที่กำลังเติบโตขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

(จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)


กำลังโหลดความคิดเห็น