เอเอฟพี/รอยเตอร์ - น้ำมันร่วงแรงในวันพุธ (4 พ.ย.) พบสต๊อกเชื้อเพลิงและกำลังผลิตสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ส่วนวอลล์สตรีทและทองคำปิดลบ หลังประธานเฟดแย้มมีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 1.58 ดอลลาร์ ปิดที่ 46.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 1.96 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันมีขึ้นหลังจากรายงานปิโตรเลียมรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ พบว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศเพิ่มขึ้น 6 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 30 ตุลาคม เพิ่มขึ้น 2.8 ล้านบาร์เรล เป็น 482.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายเล็กน้อย
ในขณะเดียวกัน กำลังผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่แล้ว ก็เพิ่มขึ้นอีก 48,000 บาร์เรล เป็น 9.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดหมายว่าราคาน้ำมันที่ดิ่งลงจะผลักให้กำลังผลิตลดลงตามไปด้วย
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (4 พ.ย.) ปิดแดนลบ จากแรงฉุดหุ้นกลุ่มพลังงาน และความเห็นของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางอเมริกา (เฟด) ที่บอกว่าอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนสุดท้ายของปี
ดาวโจนส์ ลดลง 50.57 จุด (0.28 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17.867.58 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 7.48 จุด (0.35 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,102.31 จุด แนสแดค ลดลง 2.65 จุด (0.05 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 5,142.48 จุด
นางเยลเลนกล่าวระหว่างให้ปากคำต่อสภาคองเเกรสว่าความเป็นไปได้ในการขึ้นดอกเบี้ยเดือนธันวาคมยังคงมีอยู่ หากข้อมูลต่างๆ ยังแสดงให้เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง ความเห็นนี้มีขึ้น 2 วันก่อนหน้าที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯมีกำหนดเผยแพร่ข้อมูลภาคแรงงานเดือนตุลาคม
ความเป็นไปได้ที่จะธนาคารกลางสหรัฐฯมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้ ประกอบกับดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ฉุดให้ทองคำวานนี้ (4 พ.ย.) ปิดลบพอสมควร แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน ทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 7.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,106.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์