เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยกย่องอังกฤษมีวิสัยทัศน์ที่เลือกจะเป็นสหายของจีน ก่อนการเยือนเมืองผู้ดีอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ “ยุคทอง” แห่งสัมพันธภาพ ที่ผู้นำแดนมังกรเตรียมหอบโครงการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ไปด้วย
ในระหว่างให้สัมภาษณ์ซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ประธานาธิบดีสีกล่าวว่า การที่อังกฤษประกาศตัวเป็นชาติตะวันตกที่เปิดกว้างต่อจีนมากที่สุด ถือเป็นทางเลือกที่มีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่จะตอบสนองผลประโยชน์ระยะยาวของอังกฤษเอง
ระหว่างการเยือนเป็นเวลา 4 วันที่จะเริ่มต้นในวันอังคาร (20) นั้น สีจะได้รับการต้อนรับจากนักกีฬาและนักแสดงชื่อดัง นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล สมาชิกราชวงศ์และนักการเมือง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน และจอร์จ ออสบอร์น รัฐมนตรีคลัง จะนำสี ซึ่งเป็นแฟนฟุตบอลตัวยง ไปเยือนสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี และร่วมงานเลี้ยงรับรองที่ศาลาว่าการเมืองแมนเชสเตอร์
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีจีนยังมีกำหนดปราศรัยต่อรัฐสภาอังกฤษอีกด้วย สื่อของทางการจีนคาดว่า ลอนดอนจะให้การต้อนรับสีอย่างยิ่งใหญ่ โดยครั้งล่าสุดที่เขาไปเยือนอังกฤษคือปี 1994 ในฐานะเจ้าหน้าที่จากเมืองฝูโจว
หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ “ไชน่า เดลี” อวดว่าจะมีการยิงสลุต 103 นัดในกรีนปาร์ก กับอีก 62 นัดที่หอคอยลอนดอน เพื่อต้อนรับสี
เฟรเซอร์ โฮวี ผู้ร่วมแต่งหนังสือ “เรด แคปิตอลลิสม์” ชี้ว่า จีนคาดหวังว่าสีจะได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริกเพื่อสะท้อนความสำคัญของผู้นำจีน และสะท้อนว่าขณะนี้จีนได้รับการยอมรับในฐานะมหาอำนาจในเวทีโลก ซึ่งเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนโดยเฉพาะในอังกฤษ เนื่องจากในอดีต อังกฤษเคยเอาชนะจีนในสงครามฝิ่น แต่ขณะนี้ อังกฤษกลับเป็นฝ่ายต้องงอนง้อจีน
ทางด้านไมเคิล ฮอกซ์ ผู้อำนวยการสถาบันเอสโอเอส ไชน่า มองว่า สีเยือนอังกฤษพร้อมวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนทางเศรษฐกิจ กล่าวคือการมองหาการลงทุนในต่างแดนขณะที่เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว และสินค้าออกที่ดี่สุดของจีนคือระบบโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟความเร็วสูง และพลังงาน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่อังกฤษต้องการ
เป็นที่คาดว่า จะมีการลงนามข้อตกลงราว 150 ฉบับในสัปดาห์นี้ เช่น โครงการสุขอนามัย การผลิตเครื่องบิน และพลังงาน และโครงการที่ถูกจับตาที่สุดคือ การอนุญาตให้จีนออกแบบและสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในแบรดเวลล์, เอสเซ็กซ์ ซึ่งปักกิ่งหวังใช้เป็นเวทีโชว์เทคโนโลยีนิวเคลียร์สู่ตลาดโลก
ในทางกลับกัน นอกจากคาดหวังเงินลงทุนหลายพันล้านจากจีน ทางฝั่งอังกฤษก็ต้องการผลักดันความพยายามในการเปลี่ยนลอนดอนเป็นศูนย์กลางการเทรดเงินหยวน และส่งเสริมการค้ากับจีน ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก
อนึ่ง ระหว่างเดินทางเยือนจีนเมื่อเดือนที่แล้ว ออสบอร์น รัฐมนตรีคลังอังกฤษ ได้เปิดแผนการปูทางให้จีนกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของอังกฤษภายในปี 2025
ขณะเดียวกัน ความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคอนุรักษนิยมของอังกฤษ เรียกเสียงวิจารณ์จากกลุ่มคนที่เชื่อว่า ลอนดอนได้ละทิ้งพันธะสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อเอาใจปักกิ่ง
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่อังกฤษเผยว่า แม้อาจมีการหารือกันอย่างเคร่งเครียดหลังฉาก แต่จะไม่มี “การทูตแบบโทรโข่ง” ระหว่างการเยือนของสี ขณะที่หลิว เสี่ยวหมิง เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำลอนดอน เตือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สีจะไม่อดทนกับการถูกวิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชนต่อหน้าธารกำนัล
การตัดสินใจของอังกฤษในการสร้าง “ยุคทอง” แห่งสัมพันธภาพกับจีน และการเพิกเฉยต่อปัญหาสิทธิมนุษยชน ถือเป็นการกลับลำนโยบายของเดวิด คาเมรอนโดยสิ้นเชิง
ฮอกซ์จากเอสโอเอเอสสำทับว่า ดูเหมือนอังกฤษฉวยจังหวะทำคะแนนกับจีน ขณะที่ปักกิ่งปีนเกลียวกับวอชิงตันอย่างหนักเรื่องการโจรกรรมทางไซเบอร์และทะเลจีนใต้ เหมือนกับที่โทนี่ แบลร์ เคยทำกับจอร์จ บุช ซึ่งแม้เป็นนโยบายที่เสี่ยง เนื่องจากอังกฤษกลายเป็นประเทศเดียวในยุโรปและชาติตะวันตก ที่หันมาคบค้าสมาคมใกล้ชิดกับจีน แต่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในแง่ความสัมพันธ์ทางการค้า
หนังสือพิมพ์โกลบัลไทมส์ของทางการปักกิ่งขานรับโดยยกย่องการเปลี่ยนแปลงนโยบายของดาวนิ่ง สตรีท และตอบโต้พวกที่วิจารณ์ “ยุคทอง” ว่าเป็นพวก “องุ่นเปรี้ยว”
ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ สียอมรับว่า มีผู้เคลือบแคลงในความสัมพันธ์ระหว่างจีน-อังกฤษ แต่สิ่งที่เขาต้องการย้ำคือ โลกยุคนี้ไม่มีชาติใดที่สามารถผลักดันการพัฒนาได้โดยไม่เปิดประเทศต้อนรับมิตรสหาย
เคอร์รี่ บราวน์ ผู้อำนวยการลอว์ ไชน่า อินสติติวท์ของคิงส์ คอลเลจ ทิ้งท้ายว่า ปักกิ่งคงไม่รู้สึกลำบากใจกับการเปลี่ยนท่าทีของคาเมรอน เนื่องจากต้องรับมือกับลอนดอนมายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 และได้เรียนรู้ความเจ้าเล่ห์แสนกลของอังกฤษมาเป็นอย่างดี