เอเจนซีส์ - คณะกรรมการด้านความปลอดภัยของเนเธอร์แลนด์ ที่เป็นแกนนำทีมสอบสวนนานาชาติ เสนอรายงานสุดท้ายอย่างเป็นทางการในวันอังคาร (13 ต.ค.) ซึ่งระบุว่า เที่ยวบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส ถูกยิงตกด้วยขีปนาวุธแบบ “บุ๊ก” ชนิดยิงจากพื้นดินสู่อากาศ จากบริเวณพื้นที่สงครามในยูเครนตะวันออก ขณะที่บริษัทรัสเซียผู้ผลิตขีปนาวุธดังกล่าวก็จัดแถลงข่าวในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยระบุผลการทดสอบที่กลายเป็นหนังคนละม้วน
รายงานอย่างเป็นทางการจากการสอบสวนนาน 15 เดือนฉบับนี้ มุ่งหาข้อยุติเกี่ยวกับการคาดเดาไปต่างๆ นานาถึงสาเหตุระเบิดกลางอากาศของเครื่องโบอิ้ง 777 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH17 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมปีที่แล้ว ที่ทำให้ผู้ที่อยู่บนเครื่อง 298 คนเสียชีวิตทั้งหมด
มอสโกปฏิเสธมาตลอดว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมดังกล่าว และชี้นิ้วไปที่กองกำลังของรัฐบาลยูเครนที่ขณะนั้นกำลังรบกับกบฏแบ่งแยกดินแดนโปรรัสเซียทางตะวันออกของประเทศ ขณะที่ยูเครนและฝ่ายตะวันตกตอกย้ำว่าขีปนาวุธที่ใช้ยิงนั้นผลิตโดยรัสเซีย ฝ่ายยูเครนถึงขนาดกล่าวว่า พวกกบฏแบ่งแยกดินแดนยูเครนตะวันออกนั้นไม่สามารถที่จะยิงขีปนาวุธนี้ได้ จึงต้องเป็นฝีมือของนักรบชาวรัสเซียที่ไปช่วยเหลือ
ทางคณะผู้สอบสวนที่นำโดยเนเธอร์แลนด์ระบุในรายงานฉบับนี้ว่า หัวรบของขีปนาวุธที่ถูกยิงขึ้นมา ได้ระเบิดขึ้นในระยะห่างไม่ถึง 1 เมตรจากห้องนักบินของ MH17 ทำให้ลูกเรือ 3 คนในห้องนักบินเสียชีวิต และทำให้ด้านหน้าของเครื่องบินทะลุ เครื่องบินลำนี้ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลางอากาศ แล้วตกลงกระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ซึ่งควบคุมโดยพวกกบฏแบ่งแยกดินแดน ซึ่งกำลังสู้รบกับทหารฝ่ายรัฐบาลยูเครนอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2014
คณะกรรมการด้านความปลอดภัยของเนเธอร์แลนด์บอกด้วยว่า เครื่องบินลำนี้ไม่ควรที่จะบินเข้าไปบริเวณนั้นเลย โดยที่ยูเครนควรประกาศปิดน่านฟ้าของตนไม่ให้เครื่องบินพลเรือนผ่าน พร้อมกับสำทับว่าไม่ได้มีใครคำนึงถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่เครื่องบินโดยสารกันเลย
ในการแถลงข่าวเปิดตัวรายงานฉบับนี้ คณะผู้สอบสวนได้ตั้งแสดงส่วนด้านหน้าของ MH17 ที่นำเอาเศษซากมาประติดประติดขึ้นใหม่ โดยที่บางส่วนของหัวเครื่องบิน, ห้องนักบิน, และชั้นธุรกิจ ของโบอิ้ง 777 ลำนี้ ถูกประกอบขึ้นจากเศษส่วนของเครื่องบินซึ่งค้นพบจากจุดเครื่องบินตก และจากนั้นจึงขนส่งทางเครื่องบินมายังฐานทัพอากาศในภาคกลางของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งใช้เป็นที่แถลงข่าวคราวนี้
ทั้งมอสโกและ อัลมาซ-แอนทีย์ ผู้ผลิตขีปนาวุธซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัสเซีย ต่างออกมาเคลื่อนไหวแสดงความไม่เชื่อถือการสอบสวนของคณะที่นำโดยเนเธอร์แลนด์นี้ตั้งแต่ก่อนมีการเปิดเผยรายงานอย่างเป็นทางการ
เซียร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย ตั้งข้อสังเกตเมื่อวันจันทร์ (12) ว่า มี “สิ่งไม่ชอบมาพากล” หลายอย่างในการตรวจสอบของนานาชาติ รวมถึงการที่ไม่ยอมให้องค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เป็นแกนนำ พร้อมกับสำทับว่ามอสโกยังไม่ได้รับการชี้แจงหลายเรื่องที่ถามไป
ทางด้านอัลมาซ-แอนทีย์ ผู้ผลิตบุ๊ก ได้จัดแถลงข่าวที่มอสโกในวันอังคารเช่นกัน โดยมุ่งแย้งร่างรายงานที่ทีมสอบสวนนานาชาติส่งให้รัสเซียและรัฐบาลของประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ประเด็นหนึ่งคือ การที่รายงานของเนเธอร์แลนด์ระบุว่า MH17 ถูกจรวดบุ๊กติดหัวรบที่ใช้ลูกระเบิดขนาดเล็กรูปทรงคล้ายตัว I นั้น อัลมาซ-แอนทีย์กล่าวว่า จากการทดลองสองครั้งโดยจัดฉากให้ “บุ๊ก” ระเบิดใกล้หัวเครื่องบินที่คล้ายกับโบอิ้ง 777 กลับพบความเสียหายต่างจากความเสียหายที่เกิดกับ MH17
ก่อนหน้านี้ การตรวจสอบเบื้องต้นที่อัลมาซ-แอนทีย์ เผยแพร่ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยังบ่งชี้ว่า MH17 ถูกยิงโดยจรวดบุ๊กรุ่นที่กองทัพรัสเซียเลิกใช้แล้ว แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทโธปกรณ์ของกองทัพยูเครน
แยน โนวิคอฟ ประธานอัลมาซ-แอนทีย์แถลงว่า ทีมสอบสวนนานาชาติไม่ยอมพิจารณาข้อมูลจากการทดลองครั้งแรกของบริษัท ที่จำลองการยิงจรวดใส่แผ่นอะลูมิเนียมที่สมมติเป็นลำตัวเครื่องบิน แสดงให้เห็นว่า หาก MH17 ถูกยิงด้วยบุ๊ก จุดที่ยิงต้องมาจากหมู่บ้านซาโรเชนสกีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลยูเครนในขณะนั้น ไม่ใช่หมู่บ้านสนิซนีที่กบฏโปรรัสเซียควบคุมอยู่ ตามที่รายงานของทีมนานาชาติสรุป