เหตุผู้แสวงบุญชาวมุสลิมเหยียบกันตายกว่า 700 คนที่นครเมกกะกลายเป็นกระแสข่าวที่ทั่วโลกให้ความสนใจอย่างยิ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นโศกนาฏกรรมในช่วงพิธีฮัจญ์ครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 25 ปีแล้ว ยังทำให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบียถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องมาตรการดูแลความปลอดภัยแก่บรรดา “ฮุจญาจ” โดยคู่ปรับเก่าอย่างอิหร่านที่ถือโอกาสนี้โจมตีกรุงริยาดว่าไร้ศักยภาพในการอำนวยการพิธีแสวงบุญที่สำคัญที่สุดในศาสนาอิสลาม
ชาวมุสลิมกว่า 2 ล้านคนทั่วโลกมุ่งหน้าไปยังซาอุดีอาระเบียเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ อันเป็น 1 ใน 5 เสาหลักของอิสลามที่มุสลิมผู้มีความสามารถทั้งในด้านร่างกายและกำลังทรัพย์จะต้องกระทำให้ได้ อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต
ผู้แสวงบุญจะต้องประกอบพิธีกรรมต่างๆ หลายขั้นตอนในช่วงเวลา 5 วัน ซึ่งรวมถึงการขว้างเสาหินที่เป็นตัวแทนมารร้าย ณ ทุ่งมินา ซึ่งอยู่ห่างจากนครเมกกะประมาณ 5 กิโลเมตร
หายนะร้ายแรงครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน ขณะที่คณะผู้แสวงบุญ 2 กลุ่มใหญ่เคลื่อนขบวนมาบรรจบกันที่ทางแยกในทุ่งมินา เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 769 รายและได้รับบาดเจ็บ 934 คน โดยจุดเกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากสะพานญะมารอต ซึ่งเป็นสะพาน 5 ชั้นที่ผู้แสวงบุญจะเดินเข้าไปขว้างเสาหิน
ฮัมซา มูซา คอบีร์ ชาวไนจีเรียวัย 55 ปี เล่าว่า ตัวเขาเองอยู่ในกลุ่มผู้แสวงบุญที่กำลังเคลื่อนขบวนไปยังสะพานญะมารอต แต่ตำรวจซาอุฯ กลับปล่อยขบวนผู้แสวงบุญที่ขว้างเสาหินเสร็จแล้วให้เดินสวนทางกลับมา
“ตอนนั้นคนที่ขว้างเสาหินเสร็จแล้วได้เดินสวนกลับมาหาพวกที่กำลังจะเข้าไป ก็เลยเกิดการเหยียบกันขึ้น” เขากล่าว
การเหยียบกันตายนับเป็นโศกนาฏกรรมระลอก 2 ที่เกิดขึ้นระหว่างการประกอบพิธีฮัจญ์ปีนี้ โดยไม่กี่วันก่อนหน้าก็เกิดเหตุเครนก่อสร้างขนาดใหญ่ล้มลงมาทับแกรนด์มัสยิด จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 100 คน
คอลิด อัล-ฟาลิห์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขซาอุฯ กล่าวโทษผู้แสวงบุญว่าไม่ใส่ใจกฎระเบียบในการควบคุมฝูงชนจนเป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียขึ้น ขณะที่ ชัยค์ อับดุลอาซีซ อัล-ชัยค์ ผู้นำสูงสุดขององค์กรศาสนาอิสลามในซาอุดีอาระเบีย ระบุว่าเหตุผู้แสวงบุญเหยียบกันตายที่ทุ่งมินาอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์
“ในเมื่อเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจควบคุมได้ พวกท่านยอมไม่ใช่ผู้ผิด ชะตากรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วไม่อาจหลีกเลี่ยง”
สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทรงดำรงฐานะเป็น “ผู้ปกป้องสองมัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์” ในเมกกะและมะดีนะห์ ทรงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าหน้าที่ทบทวนการบริหารจัดการพิธีฮัจญ์ใหม่ทั้งหมด เพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก
เอธาร์ เอล-กาตัตนีย์ นักหนังสือพิมพ์และบล็อกเกอร์ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ระบุว่า สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวถึง 43 องศาเซลเซียสในช่วงกลางวันทำให้ผู้แสวงบุญบางคนที่เกิดเป็นลมหน้ามืดอาจไม่มีโอกาสลุกขึ้นมายืนได้อีก นอกจากนี้ ระยะเวลาที่จำกัดก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ทุกคนต้องเร่งรีบ
“เรามีเวลาน้อยมากสำหรับการปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ให้ครบถ้วน”
คอลิด อัล-เมอีนา นักหนังสือพิมพ์ชาวมุสลิมอีกคนหนึ่ง เชื่อว่าความเร่งรีบคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเหยียบกันตายในพิธีฮัจญ์ปีนี้
“คนส่วนใหญ่อยากจะไปทำพิธีขว้างเสาหินเป็นกลุ่มแรกๆ ในช่วงเช้า” เขาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นที่เมืองเจดดาห์
แม้ซาอุดีอาระเบียจะเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการพิธีฮัจญ์ ทว่าผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยเพิ่งจะเคยเดินทางไปเป็นครั้งแรก และอาจไม่ได้เตรียมตัวมาเผชิญกับสภาพความแออัด หรือกฎระเบียบที่ทางการซาอุฯ ได้วางเอาไว้
ญามาล คอช็อกกี จากสถานีโทรทัศน์ เอล-อาหรับ ของซาอุดีอาระเบีย เผยกับซีเอ็นเอ็นว่า ผู้แสวงบุญมือใหม่ “มักจะเลือกเดินตามใจชอบ หรือไม่ก็พยายามใช้เส้นทางลัด”
หลังเกิดเหตุการณ์ได้ไม่นาน สำนักข่าวเพรสทีวีของอิหร่านก็ได้อ้างรายงานจากหนังสือพิมพ์ภาษาอาหรับ อัล-ดิยาร์ ของเลบานอน ซึ่งระบุว่า ขบวนเสด็จฯ ของเจ้าชาย โมฮาเหม็ด บิน ซัลมาน อัล-สะอูด รองมกุฎราชกุมารซาอุฯ และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม อาจมีส่วนขัดขวางเส้นทางของผู้แสวงบุญที่กำลังประกอบพิธีฮัจญ์เป็นวันที่ 3 จนทำให้เกิดการเหยียบกันตาย แต่เจ้าหน้าที่ซาอุฯ ออกมายืนยันว่าเรื่องนี้ “ไม่มีมูล”
ชาวอิหร่านราว 400 คนได้ไปชุมนุมประท้วงที่หน้าสถานทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเตหะราน พร้อมป่าวร้องสโลแกนสาปแช่งราชวงศ์สะอูดของซาอุดีอาระเบีย
อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับซาอุฯ ประณามมาตรการควบคุมฝูงชนที่ไม่เหมาะสม และการจัดการที่ผิดพลาดว่าเป็นสาเหตุของการเหยียบกันตายเกือบ 800 ศพที่ทุ่งมินา พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทางการซาอุฯ ออกมาขออภัยเรื่องนี้
คอเมเนอี ยังตำหนิริยาดว่าพยายาม “ปัดความรับผิดชอบ” หลังรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุฯ ออกมาพูดในทำนองว่า อิหร่านเอาความตายของผู้ประกอบพิธีฮัจญ์มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับซาอุดีอาระเบียกำลังอยู่ในช่วงร้อนระอุหนักจากสงครามในซีเรียและเยเมน ซึ่งริยาดมองว่าเตหะรานพยายามที่จะใช้ความขัดแย้งเหล่านี้เป็นโอกาสขยายอิทธิพลในภูมิภาค
ประธานาธิบดี ฮัสซัน รอฮานี แห่งอิหร่าน ใช้โอกาสในการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก กล่าวโจมตีความผิดพลาดของซาอุดีอาระเบียในการดูแลผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ และเรียกร้องให้เปิดทางให้ทุกๆ ประเทศที่มีพลเมืองเสียชีวิตเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการสอบสวน
อยาตอลเลาะห์ โมฮัมหมัด เอมามี คอชานี ผู้นำมุสลิมอิหร่าน กล่าวในพิธีละหมาดเมื่อวันศุกร์ที่ 25 ก.ย. ว่า หน้าที่อำนวยการพิธีฮัจญ์ “สมควรตกเป็นของรัฐอิสลามมากกว่า” สอดคล้องกับนายกรัฐมนตรี นูรี อัล-มาลิกี แห่งอิรัก ซึ่งออกมาถล่มซ้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความด้อยศักยภาพของซาอุฯ พร้อมเสนอให้องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) เข้ามารับหน้าที่บริหารจัดการพิธีฮัจญ์แทน