รอยเตอร์ / เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ทางการซาอุดีอาระเบียแถลงยืนยันล่าสุดในวันเสาร์ ( 26 ก.ย.) ระบุ ยอดผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมเหยียบกันตายนอกเมืองเมกกะ ได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 769 ศพ
คาหลิด อัล-ฟาลีห์ รัฐมนตรีสาธารณสุขของซาอุดีอาระเบีย ออกมาเปิดเผยข้อมูลล่าสุดในวันเสาร์ (26) โดยระบุ ยอดผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมผู้แสวงบุญพิธีฮัจญ์เหยียบกันตายบริเวณนอกเมืองเมกกะเมื่อวันพฤหัสบดี (24) ได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 769 ศพแล้ว ถือเป็นตัวเลขความสูญเสียที่ปรับเพิ่มขึ้นอีก 52 ศพ จากรายงานผู้เสียชีวิตที่มีการเผยแพร่ครั้งก่อนหน้านี้
นอกเหนือจากการเปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดจากโศกนาฏกรรมดังกล่าว ซึ่งอยู่ที่อย่างน้อย 769 รายแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของซาอุดีอาระเบียยังระบุว่า จำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บล่าสุดจากเหตุผู้แสวงบุญเหยียบกันตายครั้งนี้อยู่ที่ 934 ราย
ในอีกด้านหนึ่งมีรายงานจากสื่อหลายสำนักในอิหร่าน ซึ่งรวมถึงสำนักข่าวไอเอสเอ็นเอของกลุ่มนักศึกษาอิหร่าน และสำนักข่าวฟาร์ส (Fars) ในวันเสาร์ (26) ว่า จนถึงขณะนี้ มีผู้แสวงบุญชาวอิหร่านเสียชีวิตจากเหตุเหยียบกันตาย ที่นอกนครเมกกะของซาอุดีอาระเบียอย่างน้อย 136 ราย แต่ยังมีชาวอิหร่านอีกมากกว่า 300 ราย ที่หายตัวไปและยังไม่อาจยืนยันได้ว่าทั้งหมดเสียชีวิตแล้วหรือไม่ ซึ่งหนึ่งในนี้มี กาซานฟาร์ รอคนาบาดี อดีตเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำเลบานอน รวมอยู่ด้วย
ขณะที่ เอบราฮิม ไรซี อัยการใหญ่แห่งอิหร่าน ออกโรงเรียกร้องให้ศาลระหว่างประเทศและองค์กรยุติธรรมนานาชาติเปิดการไต่สวนเอาผิดกับชาวซาอุดีอาระเบีย ที่เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ และว่าเหตุสลดที่เกิดขึ้นระหว่างพิธีฮัจญ์นี้ เป็นผลของ “การก่ออาชญากรรม” ซึ่งต้องมีผู้รับผิดชอบ
ก่อนหน้านี้ ชัยค์ อับดุลอาซีซ อัล-ชัยค์ แกรนด์มุฟตี แห่งซาอุดีอาระเบีย หรือผู้นำสูงสุดขององค์กรศาสนาอิสลามในราชอาณาจักรกลางทะเลทรายแห่งนี้ ชี้ว่า เหตุผู้แสวงบุญเหยียบกันตายที่ทุ่งมินา ชานนครเมกกะนั้น ถือเป็นสิ่งที่ “อยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์” และไม่ควรกล่าวโทษซึ่งกันและกัน
เหตุผู้แสวงบุญเหยียบกันตายในปีนี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมในช่วงพิธีฮัจญ์ ครั้งที่ถือว่าเลวร้ายที่สุดในรอบ 25 ปี และทำให้รัฐบาลซาอุฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องมาตรการดูแลความปลอดภัยแก่บรรดา “ฮุจญาจ” โดยเฉพาะเสียงติเตียนจากอิหร่านชาติผู้นำมุสลิมนิกายชีอะห์ที่ค่อนข้างจะดังเป็นพิเศษ
“ในเมื่อเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจควบคุมได้ พวกท่านยอมไม่ใช่ผู้กระทำผิด นี่คือ ชะตากรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” ชัยค์ อับดุลอาซีซ กล่าว
ทั้งนี้ ในวันนี้ (26) ผู้แสวงบุญชาวมุสลิมได้เดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ไปยังสะพานญะมารอต (Jamarat Bridge) เพื่อประกอบพิธีขว้างเสาหินในวันสุดท้าย ขณะที่มีรายงานว่ากระทรวงมหาดไทยซาอุดีอาระเบีย ได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนกว่า 100,000 นายเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อยในการประกอบพิธีฮัจญ์ รวมถึงการควบคุมจัดระเบียบฝูงชน หวั่นเกิดโศกนาฏกรรมซ้ำรอย
นับตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อวันพฤหัสบดี (24) ผู้แสวงบุญส่วนใหญ่มองว่า เหตุเหยียบกันตายครั้งนี้เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของซาอุฯ สั่งปิดถนนหลายสาย และยังจัดการฝูงชนอย่างไร้ประสิทธิภาพ ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัดและอบอ้าว ขณะที่บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุขซาอุฯ ได้ออกมากล่าวโทษผู้แสวงบุญที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัย จนเป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียขึ้น