เอเจนซีส์ – ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ สมาชิกพรรครีพับลิกัน จอห์น โบห์เนอร์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวานนี้(25) ซึ่งการลาออกจะมีผลในสิ้นเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยเบื้องหลังการตัดสินใจลาออกมีขึ้นหลังจากที่โบห์นเนอร์ได้มีใช้เวลาส่วนตัวกับโป๊ปฟรานซิส และพระองค์ได้ร้องขอให้เขาสวดภาวนาให้ ด้านผู้นำสหรัฐฯรับแปลกใจข่าวลาออกกะทันหัน ส่วนเควิน แม็คคาร์ธี (Kevin McCarthy) ผู้นำสภาคองเกรสคนต่อไป ออกแถลงการณ์ดับฝุ่นคลุ้ง “สมานฉันท์และเยียวยา”
บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานในวันศุกร์(25)ว่า การตัดสินใจลงจากอำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จอห์น โบห์นเนอร์ สายพรรครีพับลิกันมีขึ้นในวันการครบรอบรำลึก 11 กันยาทางศาสนาในช่วงเช้าวันศุกร์(25) หรือ 1 วันหลังจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จแถลงอย่างเป็นทางการในสภาร่วมคองเกรส ซึ่งจากการรายงานพบว่า ในวันนั้นพระองค์ทรงเลือกที่จับมือทักทายกับ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ จอห์น เคร์รี แต่ผู้เดียวในขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในห้องประชุม
ด้านประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบมา ทราบข่าวด้วยความมึนงง จนถึงกับต้องโทรศัพท์สอบถามผู้นำเพื่อนต่างพรรคด้วยความห่วงใย
อย่างไรก็ตามสื่ออังกฤษชี้ว่า ในการแถลงข่าวของโบห์นเนอร์ วัย 65 ปีจากรัฐโอไฮโอ ที่กรำศึกด้านการเมืองมานาน เขาต้องถึงกับปาดน้ำตาเปิดใจเมื่อวานนี้(25) พร้อมเผยว่า เหตุผลส่วนหนึ่งของการตัดสินใจลาออกเนื่องมาจากได้ใช้เวลาส่วนตัวร่วมกับโป๊ปฟรานซิส
โดยโบห์นเนอร์กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือพร้อมคราบน้ำตาด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มภายใต้ความกดดันอย่างหนักหน่วงว่า “พระองค์คล้ายกับทรงโอบผมเข้าไปหา พร้อมกับตรัสว่า “ได้โปรดสวดภาวนาให้ข้าพเจ้าด้วย แต่ผมเป็นใครกันที่จะสามารถสวดเพื่อพระองค์ได้ แต่ผมก็ทำเช่นนั้น” โบห์นเนอร์แถลง
สื่ออังกฤษรายงานต่อว่า โบห์นเนอร์ต้องรับศึกหนักในฐานะผู้นำสภาล่างสหรัฐฯนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในปี 2011 ที่ต้องผจญกับกลุ่ม Tea Party สายขวาจัดทรงอิทธิพลภายในพรรค ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ของเขาในฐานะประธานสภาสหรัฐฯเรื่อยมา จนกระทั่งทำให้เขาต้องตัดสินใจลาออก
ด้านประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ได้เปิดเผยว่า รู้สึกตกใจต่อข่าวการลาออกของโบห์เนเนอร์ และได้รีบโทรศัพท์ไปสอบถามกับประธานสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯหลังจากนั้น
โบห์นเนอร์สามารถขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดในฝั่งนิติบัญญัติเมื่อเดือนมกราคม 2011 เป็นช่วงเวลาหลังจากที่พรรครีพับลิกันสามารถกลับเข้ามามีที่นั่งเสียงข้างมากในสภาล่างได้สำเร็จ โดยรับไม้ต่อจากแนนซี เพโลซี อดีตผู้นำสภาคองเกรสสายเดโมแครตซึ่งเข้ารับตำแหน่งประธานสภาสหรัฐฯในสมัยแรกของรัฐบาลโอบามา
บีบีซีชี้ว่า การตัดสินใจลาออกมาเป็นเพราะพรรครีพับลิกันมีความมุ่งมั่นที่จะไม่ต่ออายุงบประมาณอุดหนุนองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรสหรัฐฯ วางแผนครอบครัวครอบครัวและสุขภาพสตรีของอเมริกา Planned Parenthood ซึ่งหน่วยงานนี้ได้ช่วยเหลือผู้หญิงอเมริกันสามารถเข้าถึงการวางแผนครอบครัว เช่น การคุมกำเนิด เพราะทางรีพับลิกันเชื่อว่าเป็นการขัดต่อความเชื่อทางศาสนาคริสต์ของทางพรรค
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้หน่วยงาน Planned Parenthoodตกเป็นข่าวอื้อฉาวหลังจากที่พบว่า มีหนึ่งในเจ้าหน้าที่องค์กรได้แอบลักลอบนำอวัยวะตัวอ่อนในครรภ์ออกไปขาย
และจากข่าวฉาวนี้ทำให้กลุ่ม TEA Party ภายในพรรครีพับลิกันเห็นช่องทางที่จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯของพรรคเดโมแครตไม่สามารถนำเงินภาษีรัฐบาลอเมริกันไปอุดหนุนองค์กรสนับสนุนการทำลายชีวิตทารกเช่นนี้ ด้วยการประกาศตั้งเป้าที่จะไม่ผ่านการเสนองบอนุมัติอุดหนุน และนำไปสู่การวิกฤตชัตดาวน์หน่วยงานรัฐอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความปั่นป่วนในการลาออกของโบห์นเนอร์ถูกหยุดลงด้วยแถลงการณ์ของ เควิน แม็คคาร์ธี (Kevin McCarthy) ผู้นำคนใหม่สภาล่างสหรัฐฯที่ถูกเลือกสรรจากรีพับลิกันที่จะมาทำหน้าที่ต่อจากโบห์นเนอร์ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้(25)ว่า “ในขณะนี้เป็นเวลาที่จะต้องเยียวยาและสมานฉันท์”
ด้านเพโลซี ซึ่งในขณะนี้เป็นผู้นำเสียงข้างน้อยได้กล่าวว่า การประกาศลาออกอย่างฉับพลันของโบห์นเนอร์เป็นเสมือน “ภูเขาไฟระเบิด” และยังตำหนิพาดพิงไปถึงพรรครีพับลิกันด้วยว่า “พรรครีพับลิกันไม่ลืมหูลืมตาในความต้องการปิดหน่วยงานสหรัฐฯอีกครั้ง และทำให้สหรัฐฯไม่สามารถให้งบประมาณสนับสนุนหน่วยงานเพื่อสตรีและครอบครัว Planned Parenthood นั้นเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา”
ส่วนเจบ บุช อดีตผู้ว่าการรัฐฟลอลิดา และผู้สมัครแถวหน้าลงชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรครีพับลิกันได้ออกแถลงการณ์ผ่านทวิตเตอร์ชื่มชมโบห์นเนอร์ว่า “ประธานสภาโบห์นเนอร์อุทิสตนเพื่อสหรัฐฯและประชาชนสหรัฐฯเป็นอย่างมาก และการทำให้สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสสามารถเสด็จเยือนสภาคองเกรสได้สำเร็จ ยิ่งตอกย้ำการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในฝ่ายนิติบัญญัติ” บุชแถลง
บีบีซีรายงานทิ้งท้ายว่า ผู้ช่วยโบห์นเนอร์ได้เปิดเผยว่า แต่เดิมประธานสภาสหรัฐฯมีความตั้งใจที่จะประกาศลาออกในสิ้นปีนี้ แต่ทว่าการประกาศลาออกเมื่อวานนี้(25)ถือเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง