รอยเตอร์ - รัฐสภาญี่ปุ่นลงมติผ่านความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฉบับหนึ่งเป็นกฎหมายในวันเสาร์ (19 ก.ย.) การเปลี่ยนแปลงทางนโยบายครั้งสำคัญที่จะเปิดทางให้ทหารแดนปลาดิบร่วมรบในต่างแดนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1945 ถือเป็นชัยชนะของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ผู้ผลักดันให้ผ่อนคลายข้อจำกัดด้านกองทัพของรัฐธรรมนูญฉบับสันติภาพ
นายอาเบะบอกว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายกลาโหมครั้งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่จัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลและอากาศขึ้นในปี 1954 มีความสำคัญยิ่งในการเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ อย่างเช่นการผงาดขึ้นมาของจีน
นับเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปีนับตั้งแต่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะมีอำนาจในการใช้กำลังทหารในความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นมีสิทธิในการปกป้องตนเอง หรือเข้าช่วยเหลือชาติพันธมิตร แม้ว่าญี่ปุ่นไม่ถูกโจมตีก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้กระพือการประท้วงครั้งใหญ่ของประชาชนทั่วไปที่มองว่ามันละเมิดรัฐธรรมนูญฉบับสันติภาพ และอาจดึงญี่ป่นจะติดบ่วงความขัดแย้งต่างๆ ที่นำโดยสหรัฐฯ หลังอยู่อย่างสันติมากว่า 70 ปีนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลก ขณะที่คะแนนนิยมของนายอาเบะก็ได้รับผลกระทบจากความเคลื่อนไหวครั้งนี้เช่นกัน
นายอาเบะบอกกับผู้สื่อข่าวหลังจากวุฒิสภาเต็มคณะผ่านความเห็นชอบพระราชบัญญัติดังกล่าวว่า “กฎหมายนี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตประชาชนและแนวทางการใชีชีวิตอย่างสันติ และจุดประสงค์ของมันคือป้องกันสงคราม”
สหรัฐฯ ยินดีกับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายนี้ของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางส่วน ซึ่งกังวลต่อพฤติกรรมของจีนที่เคลื่อนไหวสนับสนุนคำกล่าวอ้างของตนเองเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่พิพาทในทะเลจีน
ส่วนปักกิ่งซึ่งยังคงขุ่นเคืองอย่างสูงต่อการรุกรานอย่างโหดเหี้ยมของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มองว่ากฎหมายฉบับนี้จะทำให้สถานการณ์ความมั่นคงของภูมิภาคยุ่งยากซับซ้อน
หง เหล่ย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงสรุปในวันศุกร์ (18 ก.ย.) ว่า “เมื่อเร็วๆ นี้เราได้ยินเสียงชาวญี่ปุ่นคัดค้านพระราชบัญญัตินี้ดังขึ้นทุกๆวัน เราต้องการให้ญี่ปุ่นรับฟังอย่างตั้งใจต่อเสียงทั้งภายในและจากนานาชาติเหล่านั้น”
“เราต้องการให้ญี่ปุ่นตระหนักถึงบทเรียนของประวัติศาสตร์ ยึดมั่นเส้นทางแห่งสันติ แสดงออกและกระทำการอย่างระมัดระวังในประเด็นความมั่นคงและด้านการทหาร รวมทั้งใช้มาตรการตามความเป็นจริงเพื่อค้ำจุนสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค”
ร่างกฎหมายฉบับนี้ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาล่างมาก่อนแล้ว ได้รับการลงมติเป็นกฎหมายจากสภาบนในตอนเช้ามืดวันเสาร์ (19 ก.ย.) แม้เหล่าพรรคฝ่ายค้านพยายามขัดขวางการลงคะแนนด้วยการยื่นญัตติขอตรวจสอบและญัตติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีของนายอาเบะในสภาล่าง ซึ่งล้วนแต่ประสบกับความพ่ายแพ้
โครงหลักของกฎหมายนี้คือสิ้นสุดข้อห้ามอายุกว่า 1 ทศวรรษสำหรับรักษาความมั่นคงร่วมหรือเข้าปกป้องประเทศพันธมิตรที่ถูกโจมตีหรือเสริมแสนยานุภาพในการป้องกันตนเองยามที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภัยคุกคามความอยู่รอด
ผู้ประท้วงหลายหมื่นคนออกมารวมตัวกันใกล้รัฐสภาในทุกๆ วันของสัปดาห์นี้ ตะโกนขอให้ฉีกพระราชบัญญัติสงครามและเรียกร้องนายอาเบะลาออก และฝูงชนจำนวนมากยังคงเดินหน้าประท้วงแม้เข้าสู่ช่วงเช้ามืดวันเสาร์ (19 ก.ย.)