xs
xsm
sm
md
lg

กรณีระเบิดศาลท้าวมหาพรหม: ฝีมือการแก้แค้นของอุยกูร์ ... หรืออุยกูร์เป็นแพะรับบาป?

เผยแพร่:   โดย: ปีเตอร์ ลี

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Erawan bombing: Uyghurs, Turkey, & passports … or Thai human trafficking, corruption … and Uyghur patsies?
BY PETER LEE
11/09/2015

ผู้เขียนไม่เชื่อในทางทฤษฎีที่ว่า ชาวอุยกูร์ผู้โกรธแค้นเพราะถูกรังแก เป็นผู้ก่อเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ เพื่อเข่นฆ่านักท่องเที่ยวชาวจีน และเป็นการตอบโต้แก้แค้นทางการไทยที่ส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ถึงแม้ผู้เขียนเห็นว่าเป็นไปได้อย่างมากที่พวกลงมือเป็นชาวอุยกูร์ แต่น่าจะมีพวกที่อยู่เบื้องหลังซึ่งคอยช่วยเหลือพวกเขาและใช้พวกเขาเป็นแพะรับบาปไปด้วย

ผมยังคงเป็นผู้ที่ไม่เชื่อใน “ทฤษฎีอุยกูร์เป็นคนทำ” อย่างน้อยที่สุดก็ตราบเท่าที่ยังมีการอธิบายขยายทฤษฎีนี้ในทิศทางที่ว่า “ชาวอุยกูร์ผู้โกรธแค้นเพราะถูกรังแก เป็นผู้ก่อเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ เพื่อเข่นฆ่าพวกนักท่องเที่ยวชาวจีน เป็นการตอบโต้แก้แค้นต่อการที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน”

สิ่งที่เราทราบอย่างมั่นใจได้แล้วในตอนนี้ดูจะมีเพียงแค่ A) รัฐบาลไทยมีความร้อนอกร้อนใจปรารถนาที่จะจัดการและควบคุมเรื่องราวนี้ B) ตำรวจไทยปล่อยข่าวรั่วราวกับพวกที่ไม่มีความสามารถในการเก็บความลับ และ C)ใครๆ อาจจะอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือสิ่งที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ เลยก็คือการหาทางนำเรื่องราวนี้มาใส่ไว้ในกรอบงามๆ แล้วก็นำมันขึ้นมาแขวนเอาไว้ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

กรณีนี้ดูจะมีองค์ประกอบอุยกูร์มาเกี่ยวข้องพัวพันด้วยอย่างชัดเจน ทั้งนี้เมื่อวินิจฉัยจากการจับกุมคุมขังผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งซึ่งมีชื่อแบบชาวอุยกูร์และกำลังถือหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐประชาชนจีน (ซึ่งดูน่าจะเป็นพาสปอร์ตของจริง) อีกทั้งยังมีชายอีกคนหนึ่งที่มีหนังสือเดินทางตุรกีซึ่งปลอมแปลงด้วยฝีมือแย่ๆ ก็เป็นที่สงสัยกันว่าอาจจะเป็นชาวอุยกูร์เช่นเดียวกัน แล้วเมื่อบวกเข้ากับหนังสือเดินทางตุรกีปลอมกองใหญ่ที่ถูกยึดมาได้ (หนังสือเดินทางปลอมเหล่านี้ย่อมเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในสายพานลำเลียงชาวอุยกูร์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ไปยังสถานหลบภัยในตุรกี) ยิ่งไปกว่านั้น มันก็มีแง่มุมเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ซึ่งมีเหตุมีผลรับฟังได้ทีเดียว

ภายใต้แรงกดดันจากสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจจริงๆ ที่จะปราบปรามกวาดล้างการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ ซึ่งมีการลำเลียงขนส่งผ่านประเทศไทย และอาศัยประโยชน์จากเอกสารพาสปอร์ตตุรกีปลอมๆ

เพื่อลดทอนมนตร์เสน่ห์ของประเทศไทยในฐานะที่เป็นทางหลวงไฮเวย์สายใหญ่สายหนึ่งสำหรับผู้ลี้ภัย รัฐบาลไทยตัดสินใจส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คน ส่วนใหญ่ทีเดียวเป็นชายแต่ก็มีผู้หญิงด้วย 24 คน กลับคืนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนกรกฎาคม 2015 ที่ผ่านมา

แล้วเพื่อถอดชนวนบรรเทาความโกรธเกรี้ยวของชาวอุยกูร์ตลอดจนพวกที่สนับสนุนเห็นอกเห็นใจพวกเขา รัฐบาลไทยยังได้ทำข้อตกลงกับรัฐบาลตุรกีในเวลาเดียวกันนั้นเอง เพื่อส่งตัวชาวอุยกูร์อีก 170 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กๆ เดินทางไปสู่ตุรกี (ดูรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้จากข้อเขียนในบล็อกของผมhttp://chinamatters.blogspot.com/2015/07/turkey-plays-uyghur-card.html)

พัฒนาการดังกล่าวนี้เดินหน้าไป โดยเรียกได้ว่าไม่มีการรายงานข่าวในสื่อมวลชนตุรกี ซึ่งปกติแล้วมีความกระตือรือร้นมากที่จะประโคมป่าวร้องกรณีที่ตุรกีแสดงบทบาทเป็นผู้พิทักษ์คุ้มครองชาวอุยกูร์ และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมออกจะเชื่อว่าการปล่อยตัวนี้ได้มีการบรรเทาความล่อแหลมลงมาแล้ว ด้วยการทำข้อตกลงกันเอาไว้ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนรู้สึกขัดเคือง เมื่อพิจารณาจากการที่รัฐบาลตุรกีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำความตกลงกันเช่นนี้ ผมจึงมีความโน้มเอียงที่จะไม่ให้ราคาแก่พวกทฤษฎีที่กำลังยกเอาการโจมตีศาลท้าวมหาพรหมนี้ ไปให้เป็นฝีมือของกลุ่ม “เดอะ เกรย์ วูล์ฟ” (The Grey Wolves) พวกชาตินิยมสุดโต่งไฮเปอร์ซึ่งได้รับการยกยอกันอย่างมากมายหนักหนา

ความพยายามของรัฐบาลไทยที่จะนำเอาประเทศไทยออกมาจากภาพแห่งขบวนการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ อาจจะดูเข้ากันไม่ได้กับการที่มีเครือข่ายการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์อยู่ภายในประเทศไทย เมื่อวินิจฉัยจากผู้คนที่ถูกรวบตัวจากการกวาดจับของตำรวจแล้ว พวกสมาชิกแก๊งนักค้ามนุษย์เหล่านี้ ก็ดูจะประกอบด้วยทั้งชาวอุยกูร์ และทั้งชาวไทยมุสลิม ซึ่งกำลังทำงานด้วยแรงจูงใจในเรื่องการหาผลกำไรและในเรื่องหลักการผสมผเสคละเคล้ากันไป และบางทีอาจจะเป็นคนเหล่านี้ที่ลงมือดำเนินการตอบโต้แก้แค้น

อย่างไรก็ดี ผมมองเห็นว่ามีความเป็นไปได้มากกว่าที่การวางระเบิดศาลท้าวมหาพรหมคราวนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับการที่ไทยเข้าปราบปรามการค้ามนุษย์โดยรวม ทั้งนี้การค้ามนุษย์คือธุรกิจที่เกี่ยวข้องโยงใยกับบุคคลบางคนในกลุ่มผู้ปกครองและกองทัพของไทย ชาวอุยกูร์นั้น ในทัศนะของผมแล้ว อาจจะเป็นผู้ลงมือก่อเหตุระเบิด ... และถูกนำมาเติมเต็มให้แก่บทบาทอันสำคัญแห่งการเป็นแพะรับบาปที่ใช้คล่องใช้สะดวก

สำหรับท่านผู้อ่านที่ออกจะคล้ายๆ กับผม นั่นคือชอบคิดค้นหารอยต่อรอยเชื่อมโยงต่างๆ ผมขอแนะนำว่ามีรายงานที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งจาก “เดอะ การ์เดียน” (the Guardian) ซึ่งนำออกเผยแพร่ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2015 หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถูกนำออกเผยแพร่ในขณะที่มีการดำเนินการเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์ไปสาธารณรัฐประชาชนจีนและตุรกี และเป็นช่วงก่อนเกิดเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม 2 เดือน (ดูรายละเอียดข้อเขียนชิ้นนี้ได้ที่ http://www.theguardian.com/world/2015/jul/24/thai-officials-among-more-than-100-charged-with-human-trafficking)

รายงานชิ้นดังกล่าวระบุว่า ทางอัยการของไทยกำลังเดินหน้าที่จะตั้งข้อหาบุคคลต่างๆ กว่า 100 คน ในจำนวนนี้มีคนหนึ่งเป็นนายทหารยศนายพล จากกรณีอื้อฉาวค้ามนุษย์ข้ามชาติซึ่งแดงโร่ขึ้นมาหลังจากมีการค้นพบศพหลายสิบคนในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย

“การสอบสวนแสดงให้เห็นว่าพวกนี้เป็นแก๊งใหญ่โต มีทั้งเครือข่ายเพื่อนำพวกเขา (ผู้อพยพ) จากต่างแดนเข้ามาในประเทศ (ไทย) อย่างเป็นระบบ ... ด้วยเหตุนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดจึงถือคดีนี้เป็นคดีที่สำคัญมาก” นายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดแถลง

การค้นพบศพดังกล่าว ยิ่งเพิ่มทวีแรงกดดันระหว่างประเทศเพื่อให้ไทยปราบปรามกวาดล้างพวกลักลอบค้ามนุษย์ ทั้งนี้มีคนที่ถูกจับกุมตัวแล้วมากกว่า 50 คนในระยะเวลา 1 เดือน โดยมีทั้งที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น, ข้าราชการ, ตำรวจ, และนายทหารอาวุโสระดับนายพลของกองทัพบกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ในเขตภาคใต้

กลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ ได้กล่าวหาพวกเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของไทยมานานแล้วว่า รู้เห็นเป็นใจกับอุตสาหกรรมการลักลอบค้าคนเป็นๆ นี้ ทว่าทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ออกมาปฏิเสธข้ออ้างเหล่านี้เรื่อยมา

ดูเหมือนว่า “พวกเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของไทย” ที่ถูกกล่าวหานี้ ครอบคลุมถึง พล.ท.มนัส คงแป้น ผู้เป็นบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งในแวดวงราชการในภาคใต้ของไทย อันเป็นพื้นที่ซึ่งการค้ามนุษย์บังเกิดขึ้น (ที่สำคัญแล้ว ภาคใต้ของไทยเป็นเส้นทางในการลำเลียงชาวเบงกาลี และชาวโรฮิงญา ไปยังมาเลเซีย)

การสอบสวนเรื่องนี้อยู่ในมือของตำรวจไทย ซึ่งได้ส่งรายงานของตนต่อทางสำนักงานอัยการสูงสุดในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (ดูรายละเอียดเรื่องนี้ได้จาก http://news.yahoo.com/thai-army-officer-wanted-migrant-trafficking-surrenders-095051834.html?soc_src=mail&soc_trk=ma)

บางทีพวกค้ามนุษย์และพันธมิตรของพวกเขา อาจจะเป็นผู้ริเริ่มเปิดการรณรงค์ก่อการร้ายภายในประเทศสักครั้งหนึ่งขึ้นมา เพื่อเป็นการลงโทษและเตือนทางการไทยว่า อย่าได้ฟ้องร้องกล่าวโทษคดีนี้อย่างแข็งกร้าวจนเกินไป

สำหรับผมแล้ว ถ้าอธิบายกันในลักษณะนี้ ก็ดูจะเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำไมจึงต้องวางระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ ได้อย่างมีเหตุมีผลน่ารับฟัง มากกว่าการอธิบายจากแง่มุมที่ว่า มันเป็น “การตอบโต้แก้แค้นฝ่ายจีน”

ถ้ามีเจตนาที่จะสังหารนักท่องเที่ยวชาวจีนกันจริงๆ แล้ว ทำไมจึงไม่ไประเบิด ... เขตไชน่าทาวน์ ทำไมจึงไม่ไปทำการโจมตีอย่างชั่วร้ายโหดเหี้ยมกันในสถานที่ต่างๆ อันมีชื่อเสียงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในย่านนั้น โดยที่มีสื่อมวลชน อย่างเช่น ยูเอสเอ ทูเดย์ (USA Today) เขียนแนะนำสถานที่เหล่านั้นกันเอาไว้อยู่มากมาย (ดูรายละเอียดสถานที่ซึ่ง ยูเอสเอ ทูเดย์ แนะนำว่าเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวได้ที่ http://www.10best.com/destinations/thailand/bangkok/attractions/chinatown-yaowarats-best/ ) หรือไม่ก็ทำไมไม่คิดโจมตีสถานทูตจีนเสียเลย

ทำไมจึงกลับมาวางระเบิดที่บริเวณใกล้ๆ กับศาลท้าวมหาพรหม ใกล้ๆ กับโรงแรมแกรนด์ ไอแอท เอราวัณ

ภายหลังการระเบิดแล้ว มีรายงานข่าวหลายชิ้นระบุว่าพบอุปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิดหลายชิ้นอยู่ในที่เกิดเหตุ ถ้าหากรายงานเหล่านี้เป็นความจริง (ผมไม่พบว่ามีการติดตามรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมใดๆ อีกเลย) มันก็ดูเหมือนวิธีโจมตีแบบ “กับดักสองชั้น” กล่าวคืออุปกรณ์ระเบิดขั้นแรกทำงานขึ้นมา เป็นการดึงดูดพวกเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับมือตอบโต้เหตุร้าย ซึ่งรวมถึงตำรวจด้วย ให้เข้ามายังที่เกิดเหตุ และคนเหล่านี้จะกลายเป็นเป้าหมายของอุปกรณ์ระเบิดขั้นที่สอง

แต่แม้กระทั่งถ้าหากเป้าหมายการโจมตีคราวนี้ไม่ใช่ตำรวจไทย ผมก็คิดว่าเป้าหมายยังคงเป็นคนไทย ไม่ใช่คนจีนอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวของไทย ทั้งนี้เมื่อนับรวมถึงผลทางอ้อมด้านต่างๆ ด้วย การท่องเที่ยวอาจจะเป็นตัวสร้างจีดีพีของไทยสูงถึง 20% ทีเดียว และถือเป็นส่วนของจีดีพีซึ่งอ่อนเปราะต่อการก่อการร้ายเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นที่เข้าใจได้ ในการที่ตำรวจไทยอาจจะไม่มีความสนใจในการพูดถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับแรงจูงใจแบบนี้ต่อสาธารณชน และกำลังส่งเสริมสนับสนุนการบรรยายให้เห็นไปว่านี่เป็นการโจมตีคนจีนโดยพวกอุยกูร์ที่ถูกรังแก

แน่นอนทีเดียว คำอธิบายเรื่องราวด้วยทฤษฎีชาวอุยกูร์ก่อเหตุเพื่อแก้แค้นจีน ยังมีจุดอ่อนที่สำคัญมากอีกจุดหนึ่ง นั่นคือ ไม่มีกลุ่มไหนเลยออกมาประกาศอ้างเครดิตสำหรับการโจมตีคราวนี้ ไม่มีชาวอุยกูร์ผู้ถูกรังแกไม่ว่ากลุ่มไหน, ไม่มีพวก ETIM ( East Turkestan Islamic Movement ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก Wikipedia ระบุว่าเป็นองค์การก่อการร้ายอิสลามิสต์และแบ่งแยกดินแดน ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยพวกหัวรุนแรงชาวอุยกูร์ในภาคตะวันตกของจีน -ผู้แปล), ไม่มีพวก ISIS (ชื่อเดิมของกลุ่มไอเอส), ไม่มีใครทั้งสิ้น ดังนั้นผมจึงอนุมานเอาว่า ถ้าหากพวกมือระเบิดมีข้อเรียกร้องอะไรแล้ว พวกเขาก็คงจะกำลังผลักดันเสนอออกมาแบบวงใน ซึ่งบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับนโยบายของทางรัฐบาล/ฝ่ายความมั่นคง/ตำรวจ ของไทย

ผมจะไม่เซอร์ไพรซ์เลย ถ้าหากว่าพวกนักค้ามนุษย์ที่มีความเกี่ยวข้องโยงใยกับชาวอุยกูร์ เป็นพวกที่ก่อเหตุระเบิดคราวนี้ขึ้นมาจริงๆ แต่ว่าบางทีอาจจะยังมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้อีกทอดหนึ่ง เป็นพวกที่คอยช่วยเหลือพวกเขาในเรื่องการประกอบระเบิดที่ดูค่อนข้างซับซ้อน, ช่วยเหลือกำหนดเส้นทางในการหลบหนี, และก็กำลังใช้พวกเขาเป็นแพะรับบาป ... และในท่ามกลางกระบวนการนี้ ก็เป็นการประกาศให้สาธารณชนเข้าใจว่า กำลังมีการม้วนเสื่อพับเก็บการปฏิบัติการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ ซึ่งได้รับความช่วยเหลืออำนวยความสะดวกจากตุรกี แต่ถูกรังเกียจชิงชังจากสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยที่รัฐบาลไทยก็ตัดสินใจแล้วว่าไม่อาจปล่อยปละเอาไว้ได้อีกต่อไป

ปีเตอร์ ลี เป็นนักเขียนที่สนใจเรื่องกิจการเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ตลอดจนจุดตัดกันระหว่างภูมิภาคเหล่านี้กับนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ สามารถอ่านบทความของเขาได้ที่เว็บบล็อกของเขาชื่อ China Matters (http://chinamatters.blogspot.com/)
กำลังโหลดความคิดเห็น