xs
xsm
sm
md
lg

เคลิ้มกันเป็นแถว! จำนวนนักศึกษามหาวิทยาลัยสหรัฐฯ ที่ “สูบกัญชาทุกวัน” พุ่งสูงสุดในรอบ 35 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


รอยเตอร์ - จำนวนนักศึกษามหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ที่สูบกัญชา “ทุกวัน หรือเกือบทุกวัน” เพิ่มสูงที่สุดในรอบ 35 ปี ผลการศึกษาล่าสุดเผยวันนี้ (1 ก.ย.)

งานวิจัยในหัวข้อ Motoring the Future ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่า ในปี 2014 มีนักศึกษามหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เกือบ 6% ยอมรับว่าสูบกัญชาทุกวันหรือเกือบจะทุกวัน เพิ่มขึ้นจากระดับ 3.5% ในปี 2007 แต่ยังน้อยกว่าสถิติสูงสุด 7.2% เมื่อปี 1980 ขณะที่กลุ่มนักศึกษาซึ่งสูบไม่บ่อยเท่านี้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

“เห็นได้ชัดว่าในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา มีการเสพกัญชามากขึ้นในหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัย” ลอยด์ จอห์นสัน หัวหน้าทีมวิจัยซึ่งเป็นผู้เรียบเรียงรายงานกล่าว

“ปรากฏการณ์ที่พบสอดคล้องกับอัตราการเสพกัญชาที่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมปลาย”

ผู้วิจัยชี้ว่า สาเหตุหลักที่ทำให้วัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นหันมาสูบกัญชามากขึ้น เป็นเพราะหลายๆ รัฐเปิดโอกาสให้มีการซื้อขายกัญชาอย่างถูกกฎหมาย อีกทั้งกัญชายังถูกมองว่าเป็นยาเสพติดที่ไม่มีโทษมากนัก

จากการสำรวจความคิดเห็นเยาวชนอเมริกันที่อายุระหว่าง 19-22 ปีในปี 2014 พบว่า 35% มองว่าการเสพกัญชาเป็นประจำอาจเกิดอันตราย ลดลงจากสถิติ 55% ในปี 2006

ทัศนคติที่ชาวอเมริกันมีต่อกัญชาก็เปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยเมื่อปี 2012 ประชาชนในรัฐโคโลราโดและวอชิงตันได้โหวตเห็นชอบกฎหมายอนุญาตการเสพกัญชาเพื่อสันทนาการ ต่อมารัฐออริกอน, อะแลสกา และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก็ประกาศใช้นโยบายเดียวกัน

ผงวิจัยฉบับนี้ระบุว่า หากมองในภาพรวมจำนวนนักศึกษามหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ที่ใช้ยาเสพติดผิดกฎหมายทุกประเภทอยู่ที่ 41% ในปี 2014 เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากตัวเลข 34% ในปี 2006 และปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยาเสพติดแพร่หลายมากขึ้นในหมู่นักศึกษาก็อยู่ที่ “กัญชา” นี่เอง

อย่างไรก็ดี ผลวิจัยชี้ว่า ยาเสพติดให้โทษหลายชนิดมีอัตราการเสพที่ลดลง เช่น กัญชาสังเคราะห์ ที่ลดจาก 7.4% ในปี 2011 ลงมาเหลือแค่ 0.9% ในปี 2014 ส่วนเฮโรอีนและแอลเอสดีก็มีอัตราการเสพต่ำในช่วงไม่กี่ปีมานี้

แอมเฟตามีน ซึ่งนักศึกษานิยมใช้ช่วงดูหนังสือสอบ และยาอี (ecstasy) ที่มักจะเสพกันในงานปาร์ตี้ต่างๆ ยังคงเป็นสารเสพติดที่นักศึกษามหาวิทยาลัยนิยมใช้กันมาก ทว่าก็มีแนวโน้มลดลงกว่าแต่ก่อน ผิดกับ “โคเคน” ซึ่งเริ่มกลับมาเป็นที่นิยม โดยมีอัตราการใช้เพิ่มขึ้นจาก 2.7% ในปี 2013 มาอยู่ที่ 4.4% ในปี 2014


กำลังโหลดความคิดเห็น