เหตุระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์เมื่อช่วงค่ำวันที่ 17 สิงหาคม นอกจากจะเป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนขวัญคนทั้งประเทศแล้ว ยังทำให้สถานการณ์การเมืองในไทยกลายเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลก เพราะเหตุรุนแรงคราวนี้มีชาวต่างชาติบาดเจ็บล้มตายด้วยเป็นจำนวนมาก ขณะที่รัฐบาลหลายประเทศต่างแสดงความกังวลและเตือนพลเมืองของตนเองให้ใช้ความระมัดระวัง หรือแม้กระทั่ง “หลีกเลี่ยง” การมาเมืองไทยในระยะนี้
ศาลพระพรหมเอราวัณซึ่งเป็นจุดที่คนร้ายนำระเบิดไปซุกซ่อนตั้งอยู่บริเวณหัวมุมแยกราชประสงค์ ติดทางเข้าโรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ และถูกโอบล้อมด้วยโรงแรมและห้างสรรพสินค้าหลายแห่งที่ดึงดูดผู้คนทั้งไทยและเทศวันละนับหมื่นคน
ไมเคิล วิลเลียมส์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษวัย 69 ปี ที่มาเยือนเมืองไทยเป็นประจำ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า “ผมรู้สึกเสียใจมาก เพราะคนไทยเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี แต่พวกเขากลับแตกแยกกันโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเอาเสียเลย”
เขาข้อสังเกตว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้น่าจะมีต้นตอจากปัญหาการเมือง
“สิ่งที่เกิดขึ้นคงไม่ถึงกับทำให้ผมเลิกมาเมืองไทย แต่แน่นอนว่าเศรษฐกิจไทยคงได้รับผลกระทบหนัก เพราะคนคงหวาดกลัว ไม่กล้าไปไหนมาไหน... ชาวต่างชาติที่อยากจะมาเที่ยวเมืองไทยคงต้องคิดหนักขึ้น”
โฮเวิร์ด เฟนตัน โปรแกรมเมอร์วัย 50 ปีชาวออสเตรเลีย ระบุว่า ตนรู้สึกท้อแท้ที่เห็นความรุนแรงกลับคืนมาสู่ท้องถนนในกรุงเทพมหานครอีกครั้ง
“หลายปีมานี้ประเทศไทยมีปัญหามากมายเหลือเกิน... ทุกคนหวังว่าเรื่องร้ายๆ คงผ่านไปแล้ว แต่พอมาเกิดขึ้นซ้ำอีกก็น่าตกใจพอสมควร และลงมือรุนแรงขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” เขาบอกกับเอเอฟพี
“ผมหวังเหลือเกินว่า ทุกฝ่ายจะมีสติยั้งคิดขึ้นมาบ้าง และสถานการณ์คงไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้”
นักท่องเที่ยวชาวจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง อินโดนีเซีย และมาเลเซีย อยู่ในกลุ่มผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 22 รายที่ได้รับการยืนยันแล้ว และยังมีคนไทยและชาวต่างชาติที่ได้รับบาดเจ็บอีกราว 120 คน
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันจันทร์ (17 ส.ค.) ระบุยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเหตุระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณเป็นฝีมือกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่ และยังไม่ขอฟังธงต้นตอของเหตุระเบิด โดย จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เผยเพียงสั้นๆ ว่า เจ้าหน้าที่ไทยกำลังดำเนินการสืบสวนอยู่ และสหรัฐฯ ยังไม่ได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือ
รัฐบาลฮ่องกงได้ประกาศเตือนความเสี่ยง “สีแดง” สำหรับพลเมืองที่จะเดินทางมากรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นขั้นที่ 2 รองจากระดับสูงสูด โดยโฆษกรัฐบาลฮ่องกงระบุว่า “พลเมืองที่มีแผนเดินทางไป (กรุงเทพมหานคร) ควรพิจารณาเปลี่ยนแผนการเดินทาง และหลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่ใช่กิจธุระ หรือเป็นเพียงการไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ”
“สำหรับผู้ที่อยู่ในกรุงเทพมหานครแล้วขอให้ติดตามประกาศของทางการท้องถิ่น ดูแลความปลอดภัยของตนเอง และหลีกเลี่ยงสถานที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิด”
ทั้งนี้ มีพลเมืองฮ่องกง 2 รายอยู่ในกลุ่มผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ด้วย
การท่องเที่ยวแห่งชาติจีนได้สั่งให้สำนักงานในสิงคโปร์ซึ่งดูแลด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ช่วยเหลือเรื่องการรักษาพยาบาลแก่พลเมืองที่ได้รับบาดเจ็บ” พร้อมเรียกร้องให้มัคคุเทศก์ที่นำกรุ๊ปทัวร์จีนเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพานักท่องเที่ยวจีนหลีกเลี่ยงจากจุดอันตราย
รัฐบาลออสเตรเลียแนะนำให้พลเมืองจิงโจ้ใช้ความระมัดระวังอย่างสูงสุด แต่ไม่ถึงขั้นออกคำเตือนให้หลีกเลี่ยงการเดินทาง
นายกรัฐมนตรี โทนี แอบบ็อตต์ ได้กล่าวขณะแถลงต่อรัฐสภาว่า ชาวออสเตรเลียไม่ควรหวาดผวาเพราะการกระทำของผู้ก่อการร้าย “ผมขอให้ประชาชนเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศไทยตามปกติ เพราะผู้ที่จงใจวางระเบิดกลางเมืองใหญ่ซึ่งมีคนพลุกพล่านนั้นต้องการสร้างความหวาดกลัว และทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง เราไม่ควรจะยอมเช่นนั้น”
กระทรวงต่างประเทศฟิลิปปินส์เตือนให้พลเมืองในกรุงเทพมหานคร “อยู่ในความสงบ และใช้ความระมัดระวังเท่าที่จำเป็นเพื่อดูแลความปลอดภัยของตนเอง” เช่นเดียวกับรัฐบาลสิงคโปร์ที่เตือนพลเมืองมีมาตรการปกป้องตนเองจากเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษประณามเหตุโจมตีบริเวณแยกราชประสงค์ ว่าเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมและไร้ความรู้สึกต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ หลังพบว่าหนึ่งในผู้เสียชีวิตเป็นนักศึกษาชาวฮ่องกงซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในสหราชอาณาจักร พร้อมทั้งแสดงความเสียใจและห่วงใยถึงประชาชนคนไทยทุกคน
“ผมรู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่า มีชาวอังกฤษเสียชีวิตในเหตุระเบิดอันน่าสยดสยองในกรุงเทพมหานคร... ผมขอส่งความระลึกถึงครอบครัวของเธอ และทุกคนที่ได้รับผลกระทบ” เดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ โพสต์คำแถลงบนทวิตเตอร์
ด้านกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นและสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้แจ้งข่าวแก่พลเมืองและนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังประเทศไทย โดยปรับเพิ่มระดับคำเตือนในกรุงเทพมหานครจากที่ไม่มีคำเตือนใดๆ เลยเป็นระดับสีเหลือง คือ "ให้ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง"
สื่อมวลชนญี่ปุ่นยังติดตามข่าวเหตุระเบิดครั้งรุนแรงที่สุดในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่น 1 รายได้รับบาดเจ็บสาหัส คือ “นายอันโด โคตะ” วัย 31 ปี เป็นพนักงานของบริษัท เจอาร์ อีสต์ ที่เดินทางมาประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เพื่อทำงานด้านกฎหมายในการสำรวจการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง
โคดะ ถูกสะเก็ดระเบิดขณะกำลังเดินทางกลับที่พัก และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัส
ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยยอมรับกับสถานีโทรทัศน์ของญี่ปุ่นว่า ค่อนข้างกังวลกับเหตุที่เกิดขึ้น เพราะเป็นย่านที่ชาวญี่ปุ่นใช้ชีวิตประจำวันและจับจ่ายซื้อสินค้าอยู่เป็นประจำ
ด้านสถานีวิทยุเอ็นเอชเคได้สัมภาษณ์ศาสตราจารย์ ยะซุฮิโตะ อะซะมิ จากมหาวิทยาลัยโฮเซ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองไทยเกี่ยวกับเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ โดยระบุว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นหลายอย่าง และมีเหตุลอบวางระเบิดค่อนข้างบ่อยในไทย แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่มีผู้เสียชีวิตจากการระเบิดคราวเดียวมากเท่าครั้งนี้ และไม่เคยเกิดในพื้นที่ที่คนต่างชาติจำนวนมากได้รับผลกระทบ