เอเอฟพี - สำนักข่าวต่างประเทศตีแผ่มุมมองชาวต่างชาติที่มีต่อเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (17 ส.ค.) โดยหลายคนแสดงความหวาดวิตก และเสียดายที่กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นประตูสู่ “สยามเมืองยิ้ม” ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ความรุนแรงอีกครั้ง
จากรายงานล่าสุดพบว่า ยอดผู้เสียชีวิตขยับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 21 ราย ในช่วงเช้านี้ (18) ซึ่งรวมถึงนักท่องเที่ยวชาวจีน 1 คน และชาวฟิลิปปินส์อีก 1 คน ส่วนยอดผู้บาดเจ็บมีมากกว่า 120 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไปสักการะศาลพระพรหมเอราวัณ ซึ่งเป็นจุดที่ระเบิดถูกนำไปซุกซ่อนไว้
ใครก็ตามที่เป็นผู้นำระเบิดไปวางย่อมคาดเดาได้ว่า จะต้องมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเสียชีวิต หรือบาดเจ็บพิการเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย
แม้กรุงเทพมหานครจะเคยผ่านวิกฤตการณ์มาแล้วหลายระลอกตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งรวมถึงการรัฐประหารถึง 2 ครั้ง ทว่าไม่มีครั้งไหนที่ชาวต่างชาติจำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อสถานการณ์นองเลือดเหมือนเช่นเมื่อค่ำวานนี้ (17)
ศาลพระพรหมเอราวัณตั้งอยู่บริเวณหัวมุมแยกราชประสงค์ ติดทางเข้าโรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ และถูกโอบล้อมด้วยโรงแรมและห้างสรรพสินค้าหลายแห่งที่ดึงดูดผู้คนทั้งไทยและเทศวันละหลายหมื่นคน
หลังเกิดเหตุระเบิด ทางเดินสกายวอล์กที่เชื่อมระหว่างห้างสรรพสินค้าต่างๆ ซึ่งเคยคลาคล่ำไปด้วยผู้คนในช่วงหัวค่ำถูกสั่งปิดทันที ขณะที่ถนนเบื้องล่างเต็มไปด้วยตำรวจและทหารซึ่งเข้าไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ และตั้งจุดตรวจรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
“ผมรู้สึกเสียใจมาก เพราะคนไทยเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี แต่พวกเขากลับแตกแยกกันโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเอาเสียเลย” ไมเคิล วิลเลียมส์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษวัย 69 ปี ที่มาเยือนเมืองไทยเป็นประจำให้สัมภาษณ์ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้น่าจะมีต้นตอจากปัญหาการเมือง
“สิ่งที่เกิดขึ้นคงไม่ถึงกับทำให้ผมเลิกมาเมืองไทย แต่แน่นอนว่าเศรษฐกิจไทยคงได้รับผลกระทบหนัก เพราะคนคงหวาดกลัว ไม่กล้าไปไหนมาไหน” เขาให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีที่หน้าโรงแรม ใกล้ๆ กับแผงเหล็กกั้นของตำรวจ
“นักท่องเที่ยวที่อยากจะมาเมืองไทยคงต้องคิดหนักขึ้น”
ด้าน โฮเวิร์ด เฟนตัน โปรแกรมเมอร์วัย 50 ปี จากออสเตรเลีย ระบุว่า ตนรู้สึกท้อแท้ที่เห็นเหตุรุนแรงกลับมาสู่ท้องถนนในกรุงเทพมหานครอีกครั้ง
“หลายปีมานี้ประเทศไทยมีปัญหามากมายเหลือเกิน” เขาบอกกับเอเอฟพี
“ทุกคนหวังว่าเรื่องร้ายๆ คงผ่านไปแล้ว แต่พอมาเกิดขึ้นซ้ำอีกก็น่าตกใจพอสมควร และลงมือรุนแรงขนาดนี้ถือว่าน่ากังวลจริงๆ”
“ผมหวังเหลือเกินว่า ทุกฝ่ายจะมีสติยั้งคิดขึ้นมาบ้าง และสถานการณ์คงไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้”
ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดพบว่า เศรษฐกิจไทยชะลอตัวในไตรมาสสอง อันเนื่องมาจากอุปสงค์ภายในประเทศและการส่งออกที่ซบเซา โดยภาคการท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็น 10% ของจีดีพีเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเพียงไม่กี่อย่างที่ยังคงเติบโตได้ดี
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แถลงเมื่อต้นเดือนสิงหาคมว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้มีมากถึง 12.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 25% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเกิดเหตุชุมนุมทางการเมืองอันนำมาซึ่งการรัฐประหารโดยกองทัพ
ศาลพระพรหมเอราวัณซึ่งเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปท้าวมหาพรหม มีศาสนิกชนชาวพุทธเดินทางมาสักการะวันละนับหมื่นๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทย
ยอดนักท่องเที่ยวจีนคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษในช่วงวันหยุดยาวฉลองวันชาติจีน หรือ “โกลเดนวีก” ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวคึกคักเป็นพิเศษ
กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งมีชาวจีนที่บาดเจ็บถูกส่งตัวไปรักษาเป็นจำนวนมาก
“เวลานี้เราต้องการล่ามภาษา... เพราะนักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษ” เธอกล่าว พร้อมระบุว่ามีอาสาสมัครล่ามภาษาจีนหลายคนเดินทางมาช่วยสื่อสารกับคนเจ็บและญาติที่โรงพยาบาลแล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุระเบิดครั้งนี้จะกระทบการท่องเที่ยวหรือไม่ รัฐมนตรีกอบกาญจน์ก็ยอมรับว่า “นี่คือสิ่งที่เรากังวลมาก”