รอยเตอร์ – สตีเฟน โอเบรียน รองเลขาธิการสหประชาชาติฝ่ายกิจการด้านมนุษยธรรม กล่าวเตือนวานนี้ (28 ก.ค.) ให้รัฐบาลตุรกีอย่าเพิ่งประกาศเขตกันชนที่จะจัดตั้งขึ้นทางภาคเหนือของซีเรียเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” (safe zone) จนกว่าจะมั่นใจว่าสามารถปกป้องชีวิตพลเรือน ซึ่งคาดว่าจะแห่แหนกันเข้าไปหลบภัยในพื้นที่ดังกล่าว
ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดี ตอยยิบ เออร์โดแกน แห่งตุรกี ออกมาระบุว่า การประกาศ “พื้นที่ปลอดภัย” จะช่วยให้ผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย 1.7 ล้านคนที่หนีไปยังตุรกีสามารถเดินทางกลับบ้านเกิดของพวกเขา
“สิ่งที่คุณไม่ควรทำก็คือการประกาศให้พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นเขตปลอดภัย เพราะจะทำให้คนหลั่งไหลไปที่นั่น ทั้งที่ยังไม่มีมาตรการปกป้องที่ดีพอ” โอเบรียน ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน หลังกล่าวรายงานสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในซีเรียให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นได้ทราบ
“เป้าหมายสำคัญของเราคือการช่วยชีวิตพลเรือน ดังนั้นจะต้องให้มั่นใจเสียก่อนว่ามีแผนคุ้มครองพวกเขาที่ดีพอ ซึ่งก็ใช่ว่าองค์กรด้านมนุษยธรรมจะจัดการได้เสมอไป แต่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากกลุ่มอื่นๆ”
ตุรกีและสหรัฐฯ กำลังเตรียมแผนขับไล่กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ออกไปจากแนวชายแดนซีเรียฝั่งที่ติดกับตุรกี แต่เจ้าหน้าที่อเมริกันยืนยันว่า ยังไม่ถึงขั้นก่อตั้ง “เขตปลอดภัย” สำหรับพลเรือน
โอเบรียน ระบุว่า องค์การสหประชาชาติมีการติดต่อกับทุกฝ่ายเพื่อหารือข้อเสนอใหม่ๆ
กองทัพตุรกีได้ส่งเครื่องบินรบเข้าไปถล่มฐานที่มั่นไอเอสในซีเรียเป็นครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว(24) หลังจากที่เครื่องบินของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรได้ปฏิบัติภารกิจโจมตีไอเอสมานานถึง 10 เดือน
บาชาร์ จาฟารี ผู้แทนซีเรียประจำองค์การสหประชาชาติ ให้สัมภาษณ์วานนี้(28)ว่า “เรากำลังเผชิญท่าทีก้าวร้าวจากรัฐบาลตุรกี ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ”
การที่ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรียใช้กำลังปราบปรามพลเมืองที่ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยโดยสันติเมื่อปี 2011 ทำให้ซีเรียต้องจมดิ่งลงสู่สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในภูมิภาคยังเป็นโอกาสให้กลุ่มไอเอสสั่งสมอิทธิพล จากนั้นก็เข้ายึดครองดินแดนบางส่วนในอิรักและซีเรียและประกาศก่อตั้งรัฐคอลีฟะห์
ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่า สงครามกลางเมืองได้คร่าชีวิตพลเมืองซีเรียไปแล้วราว 220,000 คน อีก 7.6 ล้านคนต้องพลัดถิ่นฐานบ้านเรือน และอีก 4 ล้านคนต้องหนีตายออกนอกประเทศ ซึ่งถือเป็นวิกฤตผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 25 ปี
