เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - เจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ออกมาระบุในวันพฤหัสบดี ( 23 ก.ค.) ว่า กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยของชาวอเมริกัน ที่ใหญ่หลวงกว่า ภัยคุกคามจากเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์
ผู้อำนวยการเอฟบีไอออกมาแสดงท่าทีดังกล่าวระหว่างเข้าร่วมการประชุมหารือในเวที “Aspen Security Forum ” โดยระบุนอกจากกลุ่มไอเอส จะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยของชาวอเมริกันและสันติภาพของโลกแล้ว ทางเอฟบีไอและหน่วยงานด้านข่าวกรองอื่นๆของสหรัฐฯ ต่างพบหลักฐานว่า กลุ่มรัฐอิสลาม ซึ่งมีที่มั่นอยู่ทางภาคตะวันออกของซีเรีย และภาคตะวันตกของอิรักในขณะนี้ ได้ใช้การโฆษณาชวนเชื่อผ่านทางสื่อประเภท “โซเชียล มีเดีย” โดยเฉพาะทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อย ให้หลงเชื่อและเข้าร่วมกับกลุ่มติดอาวุธของพวกมุสลิมสุหนี่สุดโต่งกลุ่มนี้
โคมีย์ยอมรับว่า ที่ผ่านมา พบชาวอเมริกันที่มีอายุตั้งแต่ 18 – 62 ปีจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังซีเรีย เพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอสโดยตรง
แต่บอสใหญ่แห่งเอฟบีไอ วัย 54 ปี ซึ่งเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2013 ระบุว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า คือ บรรดาชาวอเมริกันส่วนที่ยังอยู่ในแผ่นดินอเมริกา แต่ถูกปลูกฝังความเชื่อแบบสุดโต่งผ่านทางสื่อออนไลน์ และกลายเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มไอเอส ที่พร้อมจะลงมือก่อเหตุโจมตีพื้นที่ต่างๆ ทั่วเมืองลุงแซม
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้อำนวยการเอฟบีไอ ยอมรับว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า มูฮัมหมัด ยุสเซฟ อับดุลอาซีซ มือปืนที่ก่อเหตุโจมตีที่เมืองแชททานูกา เมืองใหญ่อันดับที่ 4 ของมลรัฐเทนเนสซี ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นทหารอเมริกัน 5 นายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะถือเป็นหนึ่งในจำนวนพลเมืองอเมริกันที่ถูก “ล้างสมอง” โดยกลุ่มไอเอสด้วยหรือไม่
ก่อนหน้านี้เมื่อ 20 ก.ค. พล.อ.เรย์ โทมัส โอดีแอร์โน ประธานเสนาธิการกองทัพบกสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวสายความมั่นคงจากเว็บไซต์ “ดีเฟนส์นิวส์ ดอตคอม” โดยระบุว่า ต่อสู้เพื่อกวาดล้างกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส) อาจต้องใช้เวลายาวนาน 10-20 ปีถือเป็นกรอบเวลาที่นานกว่า ที่รัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามาประเมินไว้
เขาเชื่อว่าการกวาดล้างกลุ่มไอเอสจะไม่ใช่ปัญหาระยะสั้น ที่แก้ได้ลุล่วงภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) เคยประเมินเอาไว้
ขณะเดียวกัน การกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่มีแนวคิดสุดโต่งกลุ่มดังกล่าวก็จะไม่สามารถดำเนินการได้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 3-5 ปีอย่างที่รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา คาดการณ์เอาไว้เช่นเดียวกัน
นายพลระดับ 4 ดาว วัย 60 ปีรายนี้ซึ่งเคยผ่านการสู้รบในสงครามอ่าวเปอร์เซีย เมื่อปี ค.ศ. 1990 และสงครามบุกอิรักในปี 2003 มาแล้วระบุว่า สหรัฐอเมริกาและบรรดาชาติพันธมิตรอาจต้องใช้เวลายาวนาน 10-20 ปี กว่าจะกวาดล้างกลุ่มไอเอสได้สิ้นซาก และการกำจัดภัยคุกคามของกลุ่มอิสลามิสต์สุดโต่งกลุ่มนี้ ถือเป็นภารกิจระยะยาวที่ต้องอาศัย “ความต่อเนื่องในเชิงนโยบาย” ของบรรดาผู้ที่จะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมืองลุงแซมอีกหลายคนนับจากนี้
อย่างไรก็ดี แม่ทัพคนดังแห่งกองทัพบกสหรัฐฯ ซึ่งกำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนหน้านี้ออกโรงเตือนว่า ลำพังการใช้ปฏิบัติการทางทหารเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถกำจัดกลุ่มไอเอสได้ แต่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่สหรัฐฯ จะต้องใช้ทั้งเครื่องมือทางเศรษฐกิจและเครื่องมือทางการทูตควบคู่กันไป
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงภายในสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ประเมินว่าในขณะนี้กลุ่มไอเอสสามารถยึดครองพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่ กว่า 10 ล้านคนทั้งในภาคตะวันออกของซีเรียและภาคตะวันตกของอิรัก รวมถึงพื้นที่ยึดครองอีกส่วนหนึ่งในลิเบีย
ทั้งนี้ กลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอสนี้ในความเป็นจริงแล้วถือกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อปี 1999 ในชื่อกลุ่มติดอาวุธ “ญะมาอัต อัล-ตอว์ฮิด วัล-ญิฮัด” ก่อนจะประกาศตัวสวามิภักดิ์ต่อเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์เมื่อปี 2004
อย่างไรก็ดี เหล่าแกนนำซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอิรัก ได้เห็นพ้องให้มีการเปลี่ยนชื่อของกลุ่มเป็น กลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรัก (Islamic State of Iraq : ISI) เมื่อเดือนตุลาคม 2006ก่อนจะมีการเปลี่ยนชื่อกลุ่มอีกหลายหน และตามมาด้วยการแยกตัวออกจากกลุ่มอัลกออิดะห์เพื่อเดินหน้าสร้างรัฐอิสลามสุดโต่งเป็นของตัวเอง
ข้อมูลจากซีไอเอและแหล่งข่าวภายในกองกำลังชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ดระบุว่า ในปัจจุบันกลุ่มไอเอสมีนักรบในสังกัดระหว่าง 52,600–257,900 คน และมีแหล่งรายได้สำคัญมาจากการค้าน้ำมัน การค้าวัตถุโบราณ การขูดรีดภาษีจากประชาชนในพื้นที่ยึดครอง รวมถึงรายได้จากเงินบริจาค ซึ่งเชื่อว่ามีต้นตอมาจากราชวงศ์ของกาตาร์ และซาอุดีอาระเบีย