(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
China stocks show margin and market are moving in tandem
By Asia Unhedged
10/07/2015
ลูกจ้างพนักงานของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งในปักกิ่งบอกว่า ถ้าดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซี่ยงไฮ้ ยังเซถลาลงมาจนกระทั่งถึงแถวๆ 3,000 จุดแล้ว การบังคับให้ลูกหนี้มาร์จินต้องขายทิ้งหุ้นของพวกเขา จะบังเกิดขึ้นอย่างขนานใหญ่ ทั้งนี้ ดัชนีนี้หล่นลงมาจนอยู่ที่ระดับ 3,373 ในวันพฤหัสบดี (9 ก.ค.) ก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นไปจนในตอนปิดบวกขึ้นมา 5.8% ยืนอยู่ที่ 3,709 แล้วพอวันศุกร์ (10 ก.ค.) ดัชนีนี้ยังกระโจนขึ้นไปอีก 4.5% อยู่ที่ 3,878
“มาร์จิน” (Margin) ถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้ร้ายตัวสำคัญที่สุดตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้ตลาดหลักทรัพย์ของจีนเกิดการดำดิ่งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงน่าจะมาทำความเข้าใจกันอีกครั้งถึงเรื่องการใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้น, การใช้มาร์จินไปในทางที่ผิด, และข้อจำกัดของมาร์จิน
มาร์จินคือเงินกู้ที่บริษัทหลักทรัพย์ปล่อยให้แก่ลูกค้า โดยวิธีอนุญาตให้ลูกค้าเข้าซื้อหุ้นมูลค่า 100 หยวนได้โดยวางหลักประกันเพียงส่วนเดียว ซึ่งตามปกติที่ทำกันจะวางแค่ 20 หยวน เมื่อมีการดำเนินการตามตัวอย่างนี้ ก็เท่ากับทำให้ตลาดมีสภาพคล่องเป็น 5 เท่าตัวของการลงทุนจริงๆ ของลูกค้าผู้นั้น
รัฐบาลจีนได้ส่งเสริมสนับสนุนให้ปล่อยเงินกู้มาร์จินแก่พวกลูกค้ารายย่อยประเภทที่ไม่พิถีพิถันขาดข้อมูลข่าวสารในการลงทุน ผลก็คือ การใช้มาร์จินของพวกเขากลายเป็นเชื้อเพลิงซึ่งมีส่วนสำคัญมากทีเดียวในการทำให้ตลาดหุ้นจีนพุ่งพรวดพราด จนได้เห็นดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้บวกขึ้นไป 152% จนยืนอยู่ในระดับ 5,166 จุด ในระยะเวลา 12 เดือนซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา
ในวันที่ 18 มิถุนายน ปริมาณของมาร์จินในหุ้นประเภท เอ (A-share หุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนและปกติจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนชาวจีนเข้าไปซื้อขาย -ผู้แปล) อยู่ในระดับที่สูงลิ่วเป็นประวัติการณ์ถึง 2.27 ล้านล้านหยวน ทั้งนี้ตามข้อมูลของ ไฉซิน ออนไลน์ (Caixin Online) สื่อมวลชนด้านการเงินของจีนที่ได้รับความเชื่อถืออย่างสูง (ดูรายละเอียดรายงานของ ไฉซิน ได้ที่ http://english.caixin.com/2015-07-09/100827504.html) ปรากฏว่าสัปดาห์เดียวกันนั้นเอง รัฐบาลได้เพิ่มความเข้มงวดในระเบียบกฎเกณฑ์การปล่อยกู้มาร์จิน เพื่อลดปริมาณเงินกู้ประเภทนี้ลง
มันเป็นอุทาหรณ์ข้อเตือนใจอันชัดเจนในเรื่องที่ว่า คุณจะต้องระมัดระวังพยายามทำความเข้าใจให้มาก ในเวลาที่คุณเรียกร้องขออะไรก็ตามที เพราะคราวนี้รัฐบาลก็ได้สิ่งที่ตนเองต้องการนั่นแหละ กล่าวคือ นักลงทุนรายย่อยเริ่มต้นลดเงินกู้มาร์จินของตน และกลายเป็นการจุดประกายให้ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซี่ยงไฮ้หล่นฮวบลงมา จนถึงระดับ 30% ทีเดียว
“ปริมาณของการซื้อขายด้วยเงินกู้มาร์จินซึ่งได้มาจากพวกบริษัทหลักทรัพย์ ได้ตกวูบลงมาเป็นประวัติการณ์ถึง 170,000 ล้านหยวนเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม” รายงานของ ไฉซิน ระบุ “นี่เป็นวันที่ 13 ติดต่อกันที่ตัวเลขนี้ไหลรูดลงมา จนทำให้ปริมาณของเงินกู้ซึ่งใช้ในการเล่นหุ้น ต่ำลงมาสู่ระดับ 1.46 ล้านล้านหยวน”
นี่เท่ากับว่าปริมาณมาร์จินในตลาดได้ลดน้อยลงมา 36% ในช่วงเวลา 3 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับการที่มูลค่ารวมของหุ้นในตลาดก็ลดลงราว 30% ในระยะเดียวกัน ตัวเลขทั้งสองนี้มีความใกล้เคียงกันมาก พูดอย่างหยาบๆ ทั้งสองตัวต่างดำดิ่งลงมาราว 1 ใน 3 คงมองเห็นความเชื่อมโยงกันแล้วนะครับ
ปัญหาใหญ่ในการซื้อขายด้วยการใช้เงินกู้มาร์จินก็คือ เมื่อใดที่ราคาหุ้นตกลงมาจนถึงจุดซึ่งหุ้นตัวนั้นๆ ไม่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้มาร์จินได้อีกต่อไป บริษัทหลักทรัพย์ก็จะเรียกให้ลูกค้าวางหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มเติม ปกติแล้ว วิธีที่ลูกค้าทำก็คือการขายหุ้นตัวนั้นทิ้งไปแล้วนำเงินที่ได้มาชำระเงินกู้ สิ่งที่น่าหวาดกลัวมากก็คือการที่นักลงทุนจำนวนเป็นแสนเป็นล้านคน พากันขายหุ้นของพวกเขาในเวลาเดียวกันเพื่อนำเงินมาชำระมาร์จิน สภาพเช่นนี้ย่อมจะเป็นชนวนทำให้ยิ่งเกิดการเทขายกันหนักหน่วงขึ้นอีก
จวบจนถึงเวลานี้ สภาวการณ์ดังกล่าวยังมิได้เกิดขึ้น ไฉซิน รายงานว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา พวกนักลงทุนหลายแสนคนซึ่งเล่นหุ้นโดยใช้มาร์จินนั้น ส่วนใหญ่แล้วได้ขายหุ้นของพวกเขาไปก็เพื่อทำกำไรที่ยังได้อยู่มาไว้ในกำมือให้อุ่นใจ เนื่องจากพวกเขาหวาดกลัวว่าตลาดหุ้นยังจะไหลรูดกันต่อไปอีก ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของพวกลูกจ้างพนักงานของบริษัทหลักทรัพย์ ขณะที่การขายหุ้นทิ้ง สืบเนื่องจากระเบียบกฎเกณฑ์การซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จินที่บังคับให้ต้องขายไปเมื่อราคาหุ้นหล่นลงมาจนถึงระดับที่กำหนดไว้นั้น ยังถือว่ามีปริมาณน้อย
ลูกจ้างพนักงานของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งในปักกิ่งบอกกับ ไฉซิน ว่า ถ้าดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซี่ยงไฮ้ ยังเซถลาลงมาจนกระทั่งถึงแถวๆ 3,000 จุดแล้ว การบังคับให้ลูกหนี้มาร์จินต้องขายทิ้งหุ้นของพวกเขา จึงน่าจะบังเกิดขึ้นอย่างขนานใหญ่ ทั้งนี้ ดัชนีนี้หล่นลงมาจนอยู่ที่ระดับ 3,373 ในวันพฤหัสบดี (9 ก.ค.) แต่สามารถดีดตัวกลับขึ้นไปจนในตอนปิดบวกขึ้นมา 5.8% ยืนอยู่ที่ 3,709 แล้วพอวันศุกร์ (10 ก.ค.) ดัชนีนี้ยังกระโจนขึ้นไปอีก 4.5% อยู่ที่ 3,878
อย่างไรก็ตาม เอเชียอันเฮดจ์ยังคงยืนยันความเห็นที่ได้เสนอเอาไว้เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว นั่นคือ หุ้นของตลาดจีนเวลานี้อยู่ในความครอบครองของนักลงทุนมืออ่อน เป็นนักลงทุนรายย่อยที่ไม่พิถีพิถันขาดความรู้ขาดข้อมูลข่าวสาร จนกระทั่งพวกเขาไม่ได้มีความเข้าใจอย่างเต็มที่ว่าตลาดหลักทรัพย์นั้นทำงานกันอย่างไร ดังนั้น พวกเขาจะเทขายทันทีที่ปรากฏสัญญาณแรกของความยุ่งยากลำบากขึ้นมา
รัฐบาลจีนจำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปต่างๆ เพื่อให้หุ้นเข้าไปอยู่ในความครอบครองของนักลงทุนมือแข็งแรงมั่นคง นักลงทุนที่มีทัศนะมุมมองมุ่งผลระยะยาวไกลยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ แน่นอนทีเดียว เอเชียอันเฮดจ์กำลังพูดถึงนักลงทุนสถาบัน ปัจจุบันสถาบันต่างๆ ของจีนยังถือครองหลักทรัพย์กันน้อยนิดเหลือเกิน
รัฐบาลมีความเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว ด้วยการอนุญาตให้พวกกองทุนบำนาญและบริษัทประกันภัยของจีน เข้ามามีส่วนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก ถึงตอนนี้กองทุนและบริษัทเหล่านี้จะต้องเร่งมือและแสดงบทบาทอันพึงควรของพวกเขาแล้ว
(จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)
China stocks show margin and market are moving in tandem
By Asia Unhedged
10/07/2015
ลูกจ้างพนักงานของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งในปักกิ่งบอกว่า ถ้าดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซี่ยงไฮ้ ยังเซถลาลงมาจนกระทั่งถึงแถวๆ 3,000 จุดแล้ว การบังคับให้ลูกหนี้มาร์จินต้องขายทิ้งหุ้นของพวกเขา จะบังเกิดขึ้นอย่างขนานใหญ่ ทั้งนี้ ดัชนีนี้หล่นลงมาจนอยู่ที่ระดับ 3,373 ในวันพฤหัสบดี (9 ก.ค.) ก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นไปจนในตอนปิดบวกขึ้นมา 5.8% ยืนอยู่ที่ 3,709 แล้วพอวันศุกร์ (10 ก.ค.) ดัชนีนี้ยังกระโจนขึ้นไปอีก 4.5% อยู่ที่ 3,878
“มาร์จิน” (Margin) ถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้ร้ายตัวสำคัญที่สุดตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้ตลาดหลักทรัพย์ของจีนเกิดการดำดิ่งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงน่าจะมาทำความเข้าใจกันอีกครั้งถึงเรื่องการใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้น, การใช้มาร์จินไปในทางที่ผิด, และข้อจำกัดของมาร์จิน
มาร์จินคือเงินกู้ที่บริษัทหลักทรัพย์ปล่อยให้แก่ลูกค้า โดยวิธีอนุญาตให้ลูกค้าเข้าซื้อหุ้นมูลค่า 100 หยวนได้โดยวางหลักประกันเพียงส่วนเดียว ซึ่งตามปกติที่ทำกันจะวางแค่ 20 หยวน เมื่อมีการดำเนินการตามตัวอย่างนี้ ก็เท่ากับทำให้ตลาดมีสภาพคล่องเป็น 5 เท่าตัวของการลงทุนจริงๆ ของลูกค้าผู้นั้น
รัฐบาลจีนได้ส่งเสริมสนับสนุนให้ปล่อยเงินกู้มาร์จินแก่พวกลูกค้ารายย่อยประเภทที่ไม่พิถีพิถันขาดข้อมูลข่าวสารในการลงทุน ผลก็คือ การใช้มาร์จินของพวกเขากลายเป็นเชื้อเพลิงซึ่งมีส่วนสำคัญมากทีเดียวในการทำให้ตลาดหุ้นจีนพุ่งพรวดพราด จนได้เห็นดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้บวกขึ้นไป 152% จนยืนอยู่ในระดับ 5,166 จุด ในระยะเวลา 12 เดือนซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา
ในวันที่ 18 มิถุนายน ปริมาณของมาร์จินในหุ้นประเภท เอ (A-share หุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนและปกติจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนชาวจีนเข้าไปซื้อขาย -ผู้แปล) อยู่ในระดับที่สูงลิ่วเป็นประวัติการณ์ถึง 2.27 ล้านล้านหยวน ทั้งนี้ตามข้อมูลของ ไฉซิน ออนไลน์ (Caixin Online) สื่อมวลชนด้านการเงินของจีนที่ได้รับความเชื่อถืออย่างสูง (ดูรายละเอียดรายงานของ ไฉซิน ได้ที่ http://english.caixin.com/2015-07-09/100827504.html) ปรากฏว่าสัปดาห์เดียวกันนั้นเอง รัฐบาลได้เพิ่มความเข้มงวดในระเบียบกฎเกณฑ์การปล่อยกู้มาร์จิน เพื่อลดปริมาณเงินกู้ประเภทนี้ลง
มันเป็นอุทาหรณ์ข้อเตือนใจอันชัดเจนในเรื่องที่ว่า คุณจะต้องระมัดระวังพยายามทำความเข้าใจให้มาก ในเวลาที่คุณเรียกร้องขออะไรก็ตามที เพราะคราวนี้รัฐบาลก็ได้สิ่งที่ตนเองต้องการนั่นแหละ กล่าวคือ นักลงทุนรายย่อยเริ่มต้นลดเงินกู้มาร์จินของตน และกลายเป็นการจุดประกายให้ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซี่ยงไฮ้หล่นฮวบลงมา จนถึงระดับ 30% ทีเดียว
“ปริมาณของการซื้อขายด้วยเงินกู้มาร์จินซึ่งได้มาจากพวกบริษัทหลักทรัพย์ ได้ตกวูบลงมาเป็นประวัติการณ์ถึง 170,000 ล้านหยวนเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม” รายงานของ ไฉซิน ระบุ “นี่เป็นวันที่ 13 ติดต่อกันที่ตัวเลขนี้ไหลรูดลงมา จนทำให้ปริมาณของเงินกู้ซึ่งใช้ในการเล่นหุ้น ต่ำลงมาสู่ระดับ 1.46 ล้านล้านหยวน”
นี่เท่ากับว่าปริมาณมาร์จินในตลาดได้ลดน้อยลงมา 36% ในช่วงเวลา 3 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับการที่มูลค่ารวมของหุ้นในตลาดก็ลดลงราว 30% ในระยะเดียวกัน ตัวเลขทั้งสองนี้มีความใกล้เคียงกันมาก พูดอย่างหยาบๆ ทั้งสองตัวต่างดำดิ่งลงมาราว 1 ใน 3 คงมองเห็นความเชื่อมโยงกันแล้วนะครับ
ปัญหาใหญ่ในการซื้อขายด้วยการใช้เงินกู้มาร์จินก็คือ เมื่อใดที่ราคาหุ้นตกลงมาจนถึงจุดซึ่งหุ้นตัวนั้นๆ ไม่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้มาร์จินได้อีกต่อไป บริษัทหลักทรัพย์ก็จะเรียกให้ลูกค้าวางหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มเติม ปกติแล้ว วิธีที่ลูกค้าทำก็คือการขายหุ้นตัวนั้นทิ้งไปแล้วนำเงินที่ได้มาชำระเงินกู้ สิ่งที่น่าหวาดกลัวมากก็คือการที่นักลงทุนจำนวนเป็นแสนเป็นล้านคน พากันขายหุ้นของพวกเขาในเวลาเดียวกันเพื่อนำเงินมาชำระมาร์จิน สภาพเช่นนี้ย่อมจะเป็นชนวนทำให้ยิ่งเกิดการเทขายกันหนักหน่วงขึ้นอีก
จวบจนถึงเวลานี้ สภาวการณ์ดังกล่าวยังมิได้เกิดขึ้น ไฉซิน รายงานว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา พวกนักลงทุนหลายแสนคนซึ่งเล่นหุ้นโดยใช้มาร์จินนั้น ส่วนใหญ่แล้วได้ขายหุ้นของพวกเขาไปก็เพื่อทำกำไรที่ยังได้อยู่มาไว้ในกำมือให้อุ่นใจ เนื่องจากพวกเขาหวาดกลัวว่าตลาดหุ้นยังจะไหลรูดกันต่อไปอีก ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของพวกลูกจ้างพนักงานของบริษัทหลักทรัพย์ ขณะที่การขายหุ้นทิ้ง สืบเนื่องจากระเบียบกฎเกณฑ์การซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จินที่บังคับให้ต้องขายไปเมื่อราคาหุ้นหล่นลงมาจนถึงระดับที่กำหนดไว้นั้น ยังถือว่ามีปริมาณน้อย
ลูกจ้างพนักงานของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งในปักกิ่งบอกกับ ไฉซิน ว่า ถ้าดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซี่ยงไฮ้ ยังเซถลาลงมาจนกระทั่งถึงแถวๆ 3,000 จุดแล้ว การบังคับให้ลูกหนี้มาร์จินต้องขายทิ้งหุ้นของพวกเขา จึงน่าจะบังเกิดขึ้นอย่างขนานใหญ่ ทั้งนี้ ดัชนีนี้หล่นลงมาจนอยู่ที่ระดับ 3,373 ในวันพฤหัสบดี (9 ก.ค.) แต่สามารถดีดตัวกลับขึ้นไปจนในตอนปิดบวกขึ้นมา 5.8% ยืนอยู่ที่ 3,709 แล้วพอวันศุกร์ (10 ก.ค.) ดัชนีนี้ยังกระโจนขึ้นไปอีก 4.5% อยู่ที่ 3,878
อย่างไรก็ตาม เอเชียอันเฮดจ์ยังคงยืนยันความเห็นที่ได้เสนอเอาไว้เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว นั่นคือ หุ้นของตลาดจีนเวลานี้อยู่ในความครอบครองของนักลงทุนมืออ่อน เป็นนักลงทุนรายย่อยที่ไม่พิถีพิถันขาดความรู้ขาดข้อมูลข่าวสาร จนกระทั่งพวกเขาไม่ได้มีความเข้าใจอย่างเต็มที่ว่าตลาดหลักทรัพย์นั้นทำงานกันอย่างไร ดังนั้น พวกเขาจะเทขายทันทีที่ปรากฏสัญญาณแรกของความยุ่งยากลำบากขึ้นมา
รัฐบาลจีนจำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปต่างๆ เพื่อให้หุ้นเข้าไปอยู่ในความครอบครองของนักลงทุนมือแข็งแรงมั่นคง นักลงทุนที่มีทัศนะมุมมองมุ่งผลระยะยาวไกลยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ แน่นอนทีเดียว เอเชียอันเฮดจ์กำลังพูดถึงนักลงทุนสถาบัน ปัจจุบันสถาบันต่างๆ ของจีนยังถือครองหลักทรัพย์กันน้อยนิดเหลือเกิน
รัฐบาลมีความเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว ด้วยการอนุญาตให้พวกกองทุนบำนาญและบริษัทประกันภัยของจีน เข้ามามีส่วนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก ถึงตอนนี้กองทุนและบริษัทเหล่านี้จะต้องเร่งมือและแสดงบทบาทอันพึงควรของพวกเขาแล้ว
(จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)