เอเอฟพี – ชายหนุ่มชาวออสเตรเลียรายหนึ่งเสียชีวิตหลังจากเหยียบกับระเบิดในซีเรีย ขณะที่เขากำลังต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ร่วมกับกองกำลังชาวเคิร์ด ครอบครัวของเขาเปิดเผยในวันนี้ (1)
คีธ ฮาร์ดิง กล่าวว่าเขาเพิ่งทราบเมื่อวันจันทร์ (29) ว่า รีซ ลูกชายวัย 23 ปีของเขาที่เดินทางออกไปจากออสเตรเลียเมื่อเดือนพฤษภาคม ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาระหว่างปฏิบัติการตอนกลางคืน
ผู้เป็นพ่อรายนี้บอกกับสถานีวิทยุและโทรทัศน์ออสเตรเลีย (เอบีซี) ว่า เขาได้รับข้อความที่บอกให้เขาโทรศัพท์ไปยังเลขหมายต่างประเทศเลขหมายหนึ่ง
เมื่อเขาทำตามนั้น ชายคนที่รับสายพูดว่า “ผมเสียใจอย่างยิ่งที่ต้องแจ้งว่า รีซ จากไปแล้ว เขาเสียชีวิตเพราะเหยียบกับระเบิด”
จูลี บิชอป รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ซึ่งไม่ได้ยืนยันการเสียชีวิตดังกล่าว กล่าวว่า ความเศร้าเสียใจของครอบครัวนี้ควรถือเป็นคำเตือนให้กับชาวออสเตรเลียคนอื่นๆ
“เราเรียกร้องให้คนหนุ่มสาวชาวออสเตรเลียอย่าเดินทางออกจากออสเตรเลียไปจับอาวุธสู้รบ” เธอกล่าว
ฮาร์ดิง กล่าวว่าหลังจากออกไปจากบ้านที่เมืองโกลด์โคสต์ ลูกชายของเขาส่งข้อความมาบอกครอบครัวว่า เขาอยู่ต่างประเทศและกำลัง “ทำงานเพื่อมนุษยธรรม” อยู่
พวกเขาทราบในภายหลังว่า เขากำลังสู้รบร่วมกับชาวเคิร์ด เนื่องจากมีภาพเขาในชุดทหารถือปืนถูกโพสต์อยู่ในเฟสบุ๊ค
“ด้วยทุกๆ ข้อมูลข่าวสารที่แพร่สะพัดในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการตัดศีรษะคนกันเอง , การสังหารเด็ก การข่มขืนและทุบตีผู้หญิง ผมรู้เลยว่ามันจะนำพาเขาไปสู่จุดจบ” พ่อของเขากล่าว
“เขารู้สึกว่าเขาต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องและพยายามหยุดยั้งมันด้วยวิถีทางเล็กๆ ที่เขาสามารถทำได้”
ชายคนหนึ่งที่ระบุว่า เขาต่อสู้เคียงข้าง รีซ ได้โพสต์คำสรรเสริญบนเพจเฟสบุ๊ค “Lions of Rojava” (ราชสีห์แห่งโรยาวา) ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าผู้สนับสนุนที่หานักรบหน้าใหม่ให้กับกองกำลังชาวเคิร์ดในซีเรีย
“หน่วยของเขาทุกคนสาบานว่าจะล้างแค้นให้กับการตายของเขา และจะพยายามทำทุกวิถีทางจนกว่าพวกหนูไอซิสโสโครกจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น” นักรบรายดังกล่าวโพสต์ โดยเรียกกลุ่มไอเอสด้วยอีกชื่อหนึ่ง
“ประชาชนแห่งโรยาวาจะเชิดชูนามของเขาไปจนถึงคนรุ่นต่อๆ ไป” เขากล่าว ทั้งนี้ โรยาวา เป็นชื่อเรียกดินแดนของชาวเคิร์ดในซีเรีย
ชาวออสเตรเลียราว 120 คนเชื่อว่ากำลังต่อสู้ในอิรักและซีเรีย โดยส่วนใหญ่ต่อสู้ร่วมกับพวกกลุ่มนักรบญิฮาด และถูกสังหารไปแล้วอย่างน้อย 30 คน ทั้งนี้อ้างจากข้อมูลของรัฐบาลแดนจิงโจ้
