เอเจนซีส์ - กองทัพอากาศสหรัฐฯเปิดเผยล่าสุดเมื่อวานนี้(15)ว่า มีแนวโน้มความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯอาจตัดสินใจส่ง เครื่องบินรบสเตลธ์ F-22 แรปเตอร์ไปยังยุโรป หลังพบว่าจากสถานการณ์ในปัจจุบัน “รัสเซีย” นั้นป็นภัยครั้งใหญ่ ในขณะที่ด้านรัสเซียประกาศในวันเดียวกัน หากเห็นกองทัพอาวุธหนักสหรัฐฯเคลื่อนไหวในเขตทะเลบอลติก ทางเหนือของยุโรป หรือยุโรปตะวันออก จะไม่รอช้าสั่งภายในไม่กี่ชั่วโมงเพิ่มพลพร้อมอาวุธหนัก ไม่ว่าจะเป็น กำลังทหาร รถถัง จรวดมิสไซล์ เครื่องบินรบ เสริมประจำตลอดแนวพรมแดนด้านตะวันตกที่มีพรมแดนยาวติดต่อตั้งแต่ฟินแลนด์ไปจนถึงจอร์เจีย ด้านประธานาธิบดีฟินแลนด์ ซาอูลี นีนีสเตอะ (Sauli Niinistö) ตอบรับคำเชิญของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เข้าพบหารือที่กรุงมอสโกในวันอังคาร(16) หลังมีข่าวก่อนหน้าว่า ฟินแลดน์เตรียมรับสงครามโลกครั้งที่ 3 ส่งสัญญาณเตรียมทหารกองหนุนรับศึกใหญ่
RT สื่อรัสเซีย และMillitary.com สื่ออนไลน์ทางความมั่นคงรายงานว่า ในขณะนี้ทางกองทัพอากาศสหรัฐฯกำลังพิจารณาถึงโอกาสที่จะเพิ่มจำนวนตัวเลขเครื่องบินรบสัญชาติสหรัฐฯที่ผลัดเปลี่ยนบินตรวจการณ์ในน่านฟ้ายุโรปให้มีจำนวนมากขึ้น เดโบราห์ ลี เจมส์เลขาธิการกองทัพอากาศสหรัฐฯ ให้ความเห็นในการแสดงปารีสแอร์โชว์
“นี่เป็นแค่เพิ่งเริ่มต้น เพราะจะมีมากกว่านี้แน่นอน ซึ่งจะได้เห็นจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นของกองกำลังทัพฟ้าสหรัฐฯที่ผัดเปลี่ยนในยุโรป” เจมส์กล่าวจากการรายงานของรอยเตอร์ และเธอยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ซึ่งศัตรูคุกคามที่ใหญ่ที่สุดในความคิดของดิฉันคือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียในเวลานี้ รวมไปถึงความเคลื่อนไหวทางด้านการทหารของรัสเซีย และนั่นเป็นส่วนสำคัญทำให้ดิฉันต้องบินมายุโรปเพื่อปรึกษาหารือ”
และเจมส์ยังกล่าวต่อไปว่า ในการรายงานของ Millitary.com “ถือเป็นสิ่งที่น่าวิตกมากที่สุดต่อสถานการณ์ในยูเครน เพราะเราได้เห็นยุทโธปกรณ์ทางการทหารอย่างหลากหลาย ที่มีการเรียกว่า “hybrid warfare” ที่ถือเป็นเรื่องใหม่ ที่ดิฉันจัดให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก”
และเมื่อลงในรายละเอียด RT รายงานว่า เจมส์กลับกล่าวเพียงว่า เธอไม่เห็นเหตุผลที่จะไม่สั่งการให้เครื่องบินรบล่องหนสเตลธ์ F-22 แรปเตอร์ มาประจำยังภาคพื้นยุโรป แต่ปฎิเสธที่จะขยายความมากไปกว่านี้
ทั้งนี้สื่อทางการทหารระบุว่า เพื่อตอบโต้ความก้าวร้าวของรัสเซียในปัญหายูเครน กองทัพอากาศสหรัฐฯได้จัดส่งหน่วยเครื่องบินรบ A-10s และหน่วยเครื่องบินรบ F-15Cs ไปประจำยังยุโรปทันที โดยทั้งสองหน่วยนี้จะประจำในยุโรปเป็นระยะเวลา 6 เดือนในการบินตรวจการทั่วทวีปยุโรป
และยังพบว่า มีทหารสหรัฐฯจำนวน 300 นายถูกส่งตัวไปในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพร้อมกับฝูงเครื่องบินรบ A-10s จำนวน 12 ลำ จากหน่วย355th Fighter Wing ที่ประจำฐานทัพอากาศสหรัฐฯเดวิส-เมาธาน (f Davis-Monthan Air Force Base ) รัฐแอริโซนา และรวมไปถึงฝูงเครื่องบินรบF-15Cs จำนวน 12 ลำที่มาพร้อมกับทหารแนชันแนลการ์ดรัฐฟลอริดาที่เดินทางมายังยุโรปในอีก 1 เดือนหลังจากนั้น
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ทางกองทัพอากาศสหรัฐฯยังไม่มีแผนการจัดส่งกำลังทหารไปประจำยังภาคพื้นยุโรปให้มากกว่านี้เพื่อยันกับรัสเซีย โดยMillitary.com รายงานว่า ในปัจจุบันสหรัฐฯได้จัดส่งทหารประจำการในยุโรปราว 65,000 นาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทหารบกและทหารอากาศ
ด้าน RT รายงานว่า เครื่องบินรบ F-22 แรปเตอร์จัดเป็นเครื่องบินรบล่องหนแบบที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงซึ่งถูกนำออกมาสู่สาธารณะครั้งแรกในปี 2005 และอีกทั้งความพิเศษของเครื่องบินรบรุ่นนี้ สื่อรัสเซียรายงานว่า ตามกฎหมายรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้จำหน่าย F-22 แรปเตอร์ให้กับรัฐบาลต่างชาติ
และดูเหมือนว่า F-22 แรปเตอร์จะได้รับทุนอุดหนุนจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯในการเพิ่มชั่วโมงการบินภายในประเทศในสหรัฐฯ โดยแถลงการณ์ของเพนตากอนในวันจันทร์(15)กล่าวว่า “ค่ายทหารฟอร์ต เวิร์ต รัฐเทกซัส ได้รับทุนอุดหนุนจำนวน 68,612,500 ดอลลาร์ในการเพิ่มชั่วโมงการบินของ F-22 ในปี 2015”
RT รายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากเสร็จสิ้นการเยือนฝรั่งเศสแล้ว เจมส์ตั้งใจจะไปเยือนประเทศสมาชิกนาโตอื่นๆไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ อิตาลี ไซปรัส โปแลนด์ และเยอรมัน เพื่อหวังหว่านล้อมให้ประเทศเหล่านั้นเพิ่มงบทางการทหารให้สูงขึ้น
สื่อรัสเซียยังรายงานต่อว่า ในแถบทะเลบอลติก สหรัฐฯได้เพิ่มจำนวนกำลังเครื่องบินตวจการของกองทัพอากาศประจำที่นั่น ในขณะที่อังกฤษได้รับมอบเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบล่องหน B-2 และนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไปสหรัฐฯตั้งเป้าที่จะส่งเครื่องบินรบ F-35 ไปประจำยังฐานทัพอากาศอังกฤษ RAF ในลาเกนฮีธ( Lakenheath ) เพื่อประกาศแสนยานุภาพในยุโรป
อย่างไรก็ตาม รัสเซียมีปฎิกริยาทันทีกับการประกาศของสหรัฐฯในการจัดส่งอาวุธหนักไปประจำยังภาคพื้นยุโรป โดยวอชิงตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯรายงานเมื่อวานนี้(15)ว่า รัสเซียจะส่งกำลังเสริมตลอดแนวพรมแดนตะวันตกของประเทศทันที ไม่ว่าจะเป็นกองทหาร รถถัง จรวดมิสไซล์ เครื่องบินรบ หากพบว่า มีการเคลื่อนไหวอาวุธหนักของกองทัพสหรัฐฯในยุโรปตะวันออกหรือแถบทะเลบอลติก
หลังจากที่นอกจากที่กองทัพอากาศสหรัฐฯคาดการณ์จะจัดส่งฝูงเครื่าองบินรบสเตลธ์ F-22 แรปเตอร์ ไปประจำยังยุโรปแล้ว ในวันเสาร์(13)ที่ผ่านมา ทางเพนตากอนยังประกาศแนวคิดที่จะส่งอาวุธหนัก ไม่ว่าจะเป็นรถถัง หรือยุทโธปกรณ์อื่นไปประจำยังแถบทะเลบอลติก ยุโรปเหนือ
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง พลเอกยูริ ยาคูบ็อฟ ( Yury Yakubov ) แห่งกองทัพรัสเซียให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรัสเซีย อินเตอร์แฟกซ์ โดยยูคาบ็อฟประกาศว่า ทันทีที่ทางรัสเซียเห็นความเคลื่อนไหวกองกำลังอาวุธหนักสหรัฐฯในแถบบอลติกทางเหนือของยุโรปหรือยุโรปตะวันออก รัสเซียจะสั่งเสริมกำลังพลพร้อมกำลังอาวุธหนักยาวตลอดแนวพรมแดนตะวันตกของรัสเซียซึ่งมีพรมแดนแนวยาวตั้งแต่ฟินแลนด์ด้านบนสุดไปจนถึงจอร์เจียใต้สุดในทันที
โดยกลาโหมสหรัฐฯระบุว่า หากข้อเสนอนี้ผ่านจะทำให้สหรัฐฯสามารถจัดส่งอาวุธและยานกำลังพลหุ้มเกราะเพิ่มเติมไปประจำยังลิธัวเนีย ลัตเวีย เอสโตเนีย โปแลนด์ โรมาเนีย บัลกาเรีย และฮังการี แต่ทว่าแผนการส่งอาวุธไปประจำยังยุโรปตะวันออกนั้นยังต้องได้รับการอนุมัตจากรัฐมนตรีกลาโฆมสหรัฐฯ แอชตัน บี คาร์เตอร์ ก่อน
และหากเป็นเช่นนั้นจริง ยูคาบ็อบรุบุว่า รัสเซียไม่มีสิ่งอื่นที่จะกระทำได้นอกจากการเพิ่มกำลังพลและอาวุธหนักตลอดแนวรบด้านตะวันตก
นอกจากนี้พลเอกรัสเซียผู้นี้ยังยืนยันด้วยว่า และเพื่อเป็นการตอบโต้การล้ำเส้นของสหรัฐฯ ทางรัสเซียจะเพิ่มสมรรถนะให้กับหน่วยขีปนาวุธในคาลินอินกราด (Kaliningrad) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่ตั้งอยู่ในแถบคาบสมุทรบอลติกของยุโรปด้วย “ระบบมิสไซล์แบบยุทธวิธี อิสคานเดอร์” และรวมไปถึงการปรับเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการทหารในเบลารุส
และเพื่อเป็นการตอบโต้การให้สัมภาษณ์ของเลขาธิการกองทัพอากาศสหรัฐฯ กระทรวงต่างประเทศรัสเซียได้ออกแถลงการณ์ไปยังชาติพันธมิตรและสหรัฐฯในวันจันทร์(15)ว่า “ทางมอสโกหวังว่าสถานการณ์ในยุโรปจะไม่กลับเข้าไปสู่สถานการณ์เผชิญหน้าทางการทหาร ที่จะนำมาสู่ผลร้ายอย่างคาดไม่ถึง”
ด้านเรดิโอ ฟรี ยุโรป รายงานวันนี้(16)ประธานาธิบดีฟินแลนด์ ซาอูลี นีนีสเตอะ (Sauli Niinistö) ตอบรับคำเชิญของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เข้าพบหารือที่กรุงมอสโกในวันอังคาร(16) หลังมีเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากนักวิจารณ์ที่ไม่เห็นด้วย รวมไปถึงจากรัฐบาลเอสโตเนีย ซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับฟินแลนด์โดยมีทะเลบอลติกคั่นอยู่ตรงกลาง
ทั้งนี้จากการรายงานของสื่อฟินแลนด์ Ilta-Sanomat นีนีสเตอะกล่าวว่า “ ใครบ้างที่วิจารณ์ผม..นอกเหนือไปจากรัฐมนตรีเอสโตเนีย และรวมไปถึงอีกราว 2 คนที่เรียกตัวเองว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญ”
และเพราะการเผชิญหน้าระหว่างนาโตและรัสเซียมีเพิ่มมากขึ้น แต่กระนั้นประธานาธิบดีฟินแลนด์ที่ดำรงตำแหน่งประมุขของรัฐปัดว่า ฟินแลนด์กำลังต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามครั้งใหญ่จากการที่ฟินแลนด์มีพรมแดนด้านตะวันออกของประเทศยาวหลายร้อยกิโลเมตรติดรัสเซีย
ในการเข้าหารือครั้งนี้ตามคำเชิญของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน คาดว่าหัวข้อการหารือจะรวมไปถึง ความกังวลของฟินแลนด์ในความเคลื่อนไหวทางการทหารของรัสเซียในยูเครน รวมไปถึงข้อถกเถียงด้านการค้า และวัฒนธรรม
โดยเรดิโอ ฟรี ยุโรป รายงานเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่รัสเซียถูกชาติตะวันตกและสหรัฐฯคว่ำบาตร ฟินแลนด์ที่มีเศรษฐกิจผูกพันกับรัสเซียได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยในปีที่ผ่านมามูลค้าการค้าระหว่างทั้งสองประเทศตกลงไปถึง 47.5 %
นอกจากนี้ สื่อยุโรปยังรายงานเพิ่มเติมว่า ในทัศนะของรัสเซีย ดูเหมือนว่า ฟินแลนด์จะใกล้ชิดกับทางฝั่งนาโตและสหภาพยุโรปมากเกินไป ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ นีนีสเตอะจะเคยให้สัมภาษณ์กับวอชิงตันโพสต์ในเดือนพฤศจิกายน 2014 โดยเรียกความสัมพันธ์ระหว่างฟินแลนด์และนาโตว่า ฟินแลนด์เป็นเสมือน “advanced partner” ของนาโต อย่างไรก็ตามเขาให้ความเห็นถึงการที่ฟินแลนด์จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกนาโตว่า “ เป็นสิ่งที่แน่ชัดว่าการเข้าร่วมนาโตของฟินแลนด์จะดูเป็นผลร้ายมากกับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างฟินแลนด์และรัสเซีย”
โดยเครมลินแถลงเมื่อวานนี้(15)ว่า “จากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด หลังรัสเซียถูกมาตรการของสหภาพยุโรป ซึ่งรัฐบาลฟินแลนด์ไม่ได้สนับสนุนนโยบายนี้”
อย่างไรก็ตามรัสเซียระบุว่า ฟินแลนด์ต้องยอมเข้าร่วมการคว่ำบาตรสืบเนื่องจากนโยบายหนึ่งเดียวของสหภาพยุโรป
และก่อนหน้านี้สื่อ Inquisitr รายงานว่า เหมือนว่าในสถานการณ์การเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกจะดำเนินไป กองทัพฟินแลนด์เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ทางทหารที่อาจลุกลามเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 โดยการส่งสัญญาณอาจเรียกทหารกองหนุนฟินแลนด์เพื่อเตรียมพร้อม
โดย Inquisitr ระบุว่า มิกา คาลลิโอมา (Mika Kalliomaa) โฆษกประจำกองทัพฟินแลนด์กล่าวว่า ทางกองทัพวางแผนการเมื่อ 2ปีก่อนหน้านั้นเกี่ยวกับการเรียกตัวประจำการของทหารกองหนุน แต่อย่างไร คาลลิโอมายืนยันว่า แผนการครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับวิกฤตยูเครนหรือการคุกคามจากปูติน
แต่ทว่า Salonius-Pasternak ได้เปิดเผยกับเทเลกราฟ สื่ออังกฤษว่า ทางกองทัพฟินแลนด์ต้องการแน่ใจว่า หากมีเหตุฉุกเฉินจะสวามารถเรียกทหารกองหนุนจำนวน 230,000 นายได้ทันที โดยในปัจจุบันนี้กองทัพฟินแลนด์มีทหารประจำการอยู่เพียง 16,000 นายเท่านั้น แต่หากมีการเรียกทหารกองหนุน จะสามารถเสริมกำลังพลขยายเป็น 285,000 นายได้อย่างทันท่วงที