รอยเตอร์ - นายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน แห่งอังกฤษ งัดไม้แข็งสยบสัญญาณ “ขบถ” ภายในพรรคคอนเซอร์เวทีฟ โดยเตือนบรรดารัฐมนตรีให้พร้อมใจกันสนับสนุนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการเจรจาต่อรองกับสหภาพยุโรป ก่อนทำประชามติว่าด้วยสมาชิกภาพของอังกฤษในปี 2017 หรือไม่เช่นนั้นก็ “ลาออก” ไปเสีย
ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 ที่เยอรมนี คาเมรอน ซึ่งให้สัญญาว่าจะเจรจาทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับอียูก่อนทำประชามติ ประกาศชัดเจนว่าจะไม่อดทนกับลูกพรรคที่คิด “แตกแถว” ในเรื่องนี้
“ถ้าคุณยังอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล คุณต้องเห็นด้วยว่าเราจะเจรจากับอียูเพื่อนำไปสู่การทำประชามติ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ทุกอย่างสำเร็จลงด้วยดี” คาเมรอน ให้สัมภาษณ์ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเขาจะอนุญาตให้บรรดารัฐมนตรีโหวตตามสามัญสำนึกของตนเองหรือไม่
“ทุกคนในรัฐบาลของผมได้ลงนามรับรองนโยบายต่างๆ ที่ระบุไว้ในแถลงการณ์ของพรรคคอนเซอร์เวทีฟแล้ว”
กลุ่ม ส.ส.อังกฤษกว่า 50 คนระบุว่า พวกเขาพร้อมรณรงค์สนับสนุนให้อังกฤษออกจากอียู หรือ “Brexit” หากแนวทางการปฏิรูปต่างๆ ที่ คาเมรอน เรียกร้องจากอียูไม่ได้รับการตอบสนอง ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณการลังเลสงสัยในอียู (Euroceptic) ที่ปรากฏชัดเจนที่สุด นับตั้งแต่ คาเมรอน ชนะเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว
ส.ส.คนหนึ่งในกลุ่มนี้ระบุว่า อาจมีรัฐมนตรีถึง 9 คนในรัฐบาลคาเมรอนโหวตให้อังกฤษออกจากอียู แต่ยังยืนยันชัดเจนไม่ได้
ผู้นำอังกฤษแสดงความมั่นใจว่าจะสามารถเจรจาต่อรองกับอียูได้สำเร็จ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ตนก็จะหันมาเชิญชวนชาวอังกฤษให้โหวตสนับสนุนการรวมกลุ่มกับอียูทั้ง 28 ชาติต่อไป เหมือนที่เคยเป็นมาตั้งแต่ปี 1973
อย่างไรก็ตาม สถานะของคาเมรอนใช่ว่าจะมั่นคงแข็งแรง เพราะผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาทำให้พรรคคอนเซอร์เวทีฟได้จำนวน ส.ส.เกินครึ่งเพียง 12 ที่นั่งจากทั้งหมด 650 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็หมายความว่า หากมี ส.ส.กลุ่มใหญ่ในพรรคคอนเซอร์เวทีฟต่อต้านยุทธศาสตร์อียูของ คาเมรอน ก็อาจจะกระทบถึงนโยบายอื่นๆ รวมถึงการบริหารประเทศในรัฐบาลเทอมสองของเขาด้วย
กลุ่ม ส.ส.คอนเซอร์เวทีฟที่ลังเลสงสัยในอียูรู้สึกไม่พอใจคำถามที่ คาเมรอน เตรียมไว้สำหรับทำประชามติ เพราะเห็นได้ชัดว่ามีถ้อยคำโน้มน้าวให้คนโหวตสนับสนุนการรวมกลุ่มกับอียูมากเกินไป
แม้ข้อเรียกร้องของคาเมรอนจะได้รับการตอบสนองที่แตกต่างกันไปจากผู้นำอียู แต่เขาก็ยืนยันว่าจะไม่ยอมให้คนในรัฐบาลเตะถ่วงยุทธศาสตร์การต่อรองครั้งนี้ โดยเฉพาะพวกรัฐมนตรีของเขาเอง
“ถ้าผมสามารถผลักดันให้อียูดำเนินการปฏิรูป จนถึงจุดที่อังกฤษจะได้ประโยชน์มากกว่าถ้ารวมกลุ่มอยู่ต่อไป รัฐบาลก็ไม่จำเป็นจะต้องวางตัวเป็นกลางในเรื่องนี้”