สหรัฐฯและคิวบา ฝ่าทางตันครั้งประวัติศาสตร์แห่งการประจัญหน้าสงครามเย็นในวันพุธ(17ธ.ค.) ด้วยเคลื่อนไหวฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตและดำเนินการต่างๆเพื่อผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรทางการค้าของอเมริกาที่บังคับใช้มานานกว่า 5 ทศวรรษ
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แถลงว่าสหรัฐฯพร้อมทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้าและกลับมาเปิดสถานทูตในคิวบาที่ปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1961 ส่วนประธานาธิบดีราอูล คาสโตร ผู้นำคิวบา แถลงในเวลาไล่เลี่ยกันที่กรุงฮาวานา ยืนยันว่าสองชาติอดีตศัตรูบรรลุข้อตกลงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่บาดหมางกันมานานกว่าครึ่งศตวรรษ
อย่างไรก็ตาม คาสโตร แสดงท่าทีอย่างระมัดระวังในประเด็นของมาตรการคว่ำบาตรทางการค้า ซึ่งเขาเรียกมันว่าการปิดกั้น โดยระบุยังจำเป็นต้องหาทางออก ส่วนในวอชิงตัน โอบามา ยอมรับว่ามาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯล้มเหลว และบอกว่าจะทาบทามสภาคองเกรสให้พิจารณายกเลิก พร้อมๆกับเดินหน้าสานสัมพันธ์ทางการทูตและเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยว
โอบามา แถลงถึงการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันว่า การโดดเดี่ยวคิวบามานานกว่า50ปีนั้นไม่เป็นประโยชน์ และสหรัฐมีแผนกลับมาเปิดสถานเอกอัครราชทูตประจำกรุงฮาวานาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตามแม้สหรัฐจะฟื้นความสัมพันธ์ให้กลับมาเป็นปกติ แต่รัฐบาลวอชิงตันยังคงส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของชาวคิวบาเช่นเดิม
การฝ่าทางตันครั้งนี้มีขึ้นหลังจากคิวบายอมปล่อยนายอลัน กลอสส์ ผู้รับเหมาชาวอเมริกันที่ถูกควบคุมตัวนาน 5 ปีและชาวคิวบาอีกคนที่เป็นสายลับแก่วอชิงตัน ซึ่งถูกควบคุมตัวมานานกว่า 20 ปีและเคยได้รับการเรียกขานจากประธานาธิบดีโอบามา ว่าเป็นหนึ่งในสายลับที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯในคิวบา
ในทางกลับกัน สหรัฐฯยอมปล่อยนักโทษคิวบาจำนวน3คนที่ถูกคุมขังข้อหาสอดแนมข้อมูลของประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัวนายกรอสส์ ขณะที่โอบามา เผยว่าเขาได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯตรวจสอบทบทวนการขึ้นบัญชีดำคิวบาในฐานะรัฐที่ให้การสนับสนุนก่อการร้ายเสียใหม่
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แถลงว่าสหรัฐฯพร้อมทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้าและกลับมาเปิดสถานทูตในคิวบาที่ปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1961 ส่วนประธานาธิบดีราอูล คาสโตร ผู้นำคิวบา แถลงในเวลาไล่เลี่ยกันที่กรุงฮาวานา ยืนยันว่าสองชาติอดีตศัตรูบรรลุข้อตกลงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่บาดหมางกันมานานกว่าครึ่งศตวรรษ
อย่างไรก็ตาม คาสโตร แสดงท่าทีอย่างระมัดระวังในประเด็นของมาตรการคว่ำบาตรทางการค้า ซึ่งเขาเรียกมันว่าการปิดกั้น โดยระบุยังจำเป็นต้องหาทางออก ส่วนในวอชิงตัน โอบามา ยอมรับว่ามาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯล้มเหลว และบอกว่าจะทาบทามสภาคองเกรสให้พิจารณายกเลิก พร้อมๆกับเดินหน้าสานสัมพันธ์ทางการทูตและเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยว
โอบามา แถลงถึงการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันว่า การโดดเดี่ยวคิวบามานานกว่า50ปีนั้นไม่เป็นประโยชน์ และสหรัฐมีแผนกลับมาเปิดสถานเอกอัครราชทูตประจำกรุงฮาวานาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตามแม้สหรัฐจะฟื้นความสัมพันธ์ให้กลับมาเป็นปกติ แต่รัฐบาลวอชิงตันยังคงส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของชาวคิวบาเช่นเดิม
การฝ่าทางตันครั้งนี้มีขึ้นหลังจากคิวบายอมปล่อยนายอลัน กลอสส์ ผู้รับเหมาชาวอเมริกันที่ถูกควบคุมตัวนาน 5 ปีและชาวคิวบาอีกคนที่เป็นสายลับแก่วอชิงตัน ซึ่งถูกควบคุมตัวมานานกว่า 20 ปีและเคยได้รับการเรียกขานจากประธานาธิบดีโอบามา ว่าเป็นหนึ่งในสายลับที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯในคิวบา
ในทางกลับกัน สหรัฐฯยอมปล่อยนักโทษคิวบาจำนวน3คนที่ถูกคุมขังข้อหาสอดแนมข้อมูลของประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัวนายกรอสส์ ขณะที่โอบามา เผยว่าเขาได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯตรวจสอบทบทวนการขึ้นบัญชีดำคิวบาในฐานะรัฐที่ให้การสนับสนุนก่อการร้ายเสียใหม่