เอเอฟพี - เกาหลีเหนือประกาศก้องในวันเสาร์ (9 พ.ค.) ประสบความสำเร็จการทดลองยิงขีปนาวุธนำวิถีจากเรือดำน้ำ เทคโนโลยีที่แสดงให้เห็นว่าประเทศคอมมิวนิสต์แห่งนี้ มีแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์สำหรับโจมตีทำลายล้างแก้แค้น
สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (เคซีเอ็นเอ) รายงานว่า คิม จองอึน ผู้นำแดนโสมแดงได้ตรวจตราการทดสอบครั้งนี้ด้วยตนเอง และยกย่องขีปนาวุธที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้ว่าเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ระดับโลก
ยังไม่มีคำยืนยันอิสระต่อการทดสอบนี้ซึ่งจะเป็นพัฒนาการก้าวสำคัญของโครงการขีปนาวุธเกาหลีเหนือ และแน่นอนว่ามันจะละเมิดมติของสหประชาชาติที่ห้ามเปียงยางจากการทดสอบขีปนาวุธนำวิถี
การพัฒนาแสนยานุภาพของขีปนาวุธที่ยิงจากเรือดำน้ำจะนำพาภัยคุกคามจากนิวเคลียร์ของเกาหลืเหนือเข้าสู่ระดับใหม่ โดยจะแผ่ลามไปไกลนอกคาบสมุทรเกาหลี หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ภาพถ่ายดาวเทียมสังเกตเห็นหอบังคับการของเรือดำน้ำใหม่ของเปียงยางซึ่งนักวิเคราะห์สหรัฐฯ ชี้ว่าน่าจะมีท่อยิงขีปนาวุธนำวิถีหรือจรวดร่อน 1 หรือ 2 ท่อ
รายงานของเคซีเอ็นเอระบุว่า การทดสอบครั้งนี้ดำเนินการโดยเรือดำน้ำลำหนึ่งที่ดำลงสู่ระดับความลึกสำหรับยิงขีปนาวุธนำวิถี “หลังผ่านไปพักหนึ่ง ขีปนาวุธนำวิถีก็ทะยานจากใต้น้ำขึ้นสู่ท้องฟ้า” สื่อมวลชนแห่งนี้ระบุ พร้อมบอกว่าอาวุธชนิดนี้พัฒนาตามความคิดริเริ่มส่วนตัวของผู้นำคิมจองอึน
ในรายงานข่าวไม่ได้ให้รายละเอียดขนาดและพิสัยของขีปนาวุธ รวมถึงไม่ได้เจาะจงว่าการทดสอบดังกล่าวมีขึ้นเมื่อไหร่ แต่อ้างคำคุยโวของคิม ที่บอกว่าการทดลองนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเทียบเท่ากับเมื่อครั้งที่เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จยิงดาวเทียมลูกหนึ่งขึ้นสู่วงโคจรในปี 2012
“การได้มาซึ่งเทคโนโลยีนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่กองทัพประชาชนเกาหลีเหนือ จะได้เป็นเจ้าของอาวุุธยุทธศาสตร์ระดับโลก ที่มีขีดความสามารถโจมตีและปัดเป่ากองกำลังข้าศึกในน่านน้ำใดๆ ที่ล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยและเกียรติภูมิของเกาหลีเหนือ รวมถึงดำเนินภารกิจต่างๆ ใต้น้ำ” เคซีเอ็นเอระบุ
ข่าวคราวการทดสอบนี้มีออกมา หลังจากเมื่อวันศุกร์ (8 พ.ค.) เกาหลีเหนือโกรธเป็นฟืนเป็นไฟต่อคำกล่าวหาของสหรัฐฯ ที่ว่าการวิจัยด้านอวกาศของพวกเขานั้นแอบแฝงโครงการขีปนาวุธนำวิถี และประกาศส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรเพิ่มเติมท้าทายมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ
แทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเกาหลีเหนือมีโครงการพัฒนาขีปนาวุธนำวิถีที่แข็งขัน แต่เหล่าผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นแตกแยกกันว่าโครงการนี้มีความคืบหน้ามากน้อยแค่ไหน