รอยเตอร์ - ญี่ปุ่นกำลังพิจารณาปรับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงราว 25 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030 เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายก่อนหน้านี้ที่ตั้งไว้ราว 20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อแสดงการมีส่วนร่วมของโตเกียวในการประชุมซัมมิทระดับโลกว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กรุงปารีสในปีนี้ รายงานของสื่อ ระบุในวันนี้ (24 เม.ย.)
เป้าหมายดังกล่าวยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดโดยสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่าจะปรับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงมากถึง 28 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2025 จากระดับของปี 2005 และต่ำกว่าสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งกำลังมีแผนที่จะปรับลดอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 จากระดับของปี 1990
ญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้สภาพภูมิอากาศมีอุณหภูมิสูงขึ้นอันดับ 5 ของโลก แต่ได้ปรับลดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อนหน้านี้ เนื่องจากการปิดบรรดาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศภายหลังเกิดภัยพิบัติฟูกูชิมะเมื่อปี 2011 ทำให้มีการใช้ถ่านหินและก๊าซสำหรับการผลิตไฟฟ้ามากเป็นประวัติการณ์
ญี่ปุ่นกำลังพิจารณาที่จะให้คำปฏิญาณปรับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงราว 25 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030 จากระดับของปี 2013 หนังสือพิมพ์อาซาฮีรายงาน
นิกเกอิรายงานว่า รัฐบาลจะตั้งเป้าปรับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเล็กน้อยเป็นราว 25 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเป้าหมายเดิมที่ราว 20 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 จากระดับของปี 2013 หรือ 2005
นิกเกอิเสริมว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เพิ่มตัวเลขการปรับลดดังกล่าวขึ้นเพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องให้มีเป้าหมายที่สูงกว่านี้
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแดนอาทิตย์อุทัยได้เพิ่มขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งสองในรอบปีที่สิ้นสุดที่เดือนมีนาคมปี 2014 สะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินภายหลังการปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อย่างไม่มีกำหนด ข้อมูลของรัฐบาลเผย
ญี่ปุ่นมีแผนที่จะประกาศเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือกระจกของตนที่การประชุมจี-7 ในเยอรมนี ในต้นเดือนมิถุนายน และกำลังพยายามเริ่มต้นการผลิตพลังงานไฟฟ้าแบบผสมผสานสำหรับปี 2030 อย่างเร็วที่สุดในเดือนนี้เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าจะผลิตพลังงานนิวเคลียร์ให้ได้เป็นสัดส่วน 20-22 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตพลังงานไฟฟ้าแบผสมผสานของประเทศภายในปี 2030 ร่วมกับพลังงานหมุนเวียนที่คิดเป็นสัดส่วนมากกว่านั้นเล็กน้อย สื่อรายงานวันนี้ (24)
ทั้งนี้ พลังงานนิวเคลียร์มีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของการจ่ายไฟฟ้าของญี่ปุ่นก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติฟูกูชิมะ